ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 06 มกราคม 2555 - 12 มกราคม 2555
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค.55 มีหมอกในตอนเช้า ตอนบนของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-15 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. 55 มีฝนเล็กน้อยบางแห่งถึงเป็นแห่งๆในระยะแรก ต่อจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-13 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
- ระยะนี้อากาศหนาวเย็น เกษตรกรควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง
- ไม้ผลที่อยู่ในระยะติดผล เกษตรกรควรให้น้ำอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันผลร่วง เนื่องจากในเวลากลางวันอากาศแห้งน้ำระเหยได้มาก นอกจากนี้ควรคลุมโคนต้นด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเช่นฟางหรือหญ้าแห้ง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค.55 มีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 7-13 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. 55 อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นและมีฝนบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
- สำหรับช่วงนี้มีหมอกและน้ำค้างเกิดขึ้นได้ในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของราน้ำค้างในพืชผัก พริกและมะเขือเทศ
- ระยะนี้ความชื้นในดินมีน้อยและในเวลากลางวันอากาศแห้งน้ำระเหยได้มาก เกษตรกรควรคลุมบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อรักษาความชื้นในดิน
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค. 55 อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. 55 อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อากาศเย็นและมีฝนบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ในระยะนี้ปริมาณฝนจะมีน้อย พื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรเลือกปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเพื่อป้องกันสัตว์ปรับตัวไม่ทันจะทำให้สัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค. 55 อากาศเย็นในตอนเช้า และมีฝนบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค. 55 อุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย และมีฝนเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ระยะนี้ความชื้นในดินมีน้อย ไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอกหากเห็นดอกชัดเจนแล้ว เกษตรกรควรเริ่มให้น้ำโดยเริ่มจากปริมาณที่น้อยแล้วค่อยเพิ่มขึ้น เพราะหากขาดน้ำในระยะนี้จะทำให้การติดผลลดลง
- สำหรับปริมาณฝนที่มีน้อยในระยะนี้ เกษตรกรควรวางแผนการจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
- ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค. 55 มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนมากบริเวณภาคใต้ตอนกลาง อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมาเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค.55 มีฝนฟ้าคะนองกระจาย และมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-90%
- ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 6-8 ม.ค. 55 มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค.55 มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจายและมีฝนตกหนักบางแห่งทางตอนล่างของภาค ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
- สำหรับพื้นที่ซึ่งถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม โดยหากพบต้นพืชที่ล้มเอนควรผูกยึดให้ตั้งตรง และถ้ามีรอยแผลควรทำความสะอาด แล้วทาด้วยสารป้องกันเชื้อรา
- ส่วนพื้นที่ลุ่มที่มีน้ำท่วมขัง เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูกอย่าให้น้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เกิน 7 วัน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศต้นตายได้
- ในช่วงวันที่ 9-12 ม.ค.บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
คำพยากรณ์ได้ให้ไว้ในภาคใต้ฝั่งตะวันออกแล้ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74