ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 11 มกราคม 2555 - 17 มกราคม 2555
ภาคเหนือ
- มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ตอนบน ของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม. เว้นแต่ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70%
- ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค.จะมีฝนตก เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว ไว้กลางแจ้ง เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้
- บริเวณเทือกเขาและยอดดอยจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่ เกษตรกรควรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร
- สำหรับผู้ที่ปลูกไม้ดอกควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราโดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง ซึ่งมักระบาดในช่วงฤดูหนาว
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. เว้นแต่ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. มีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ 60-70%
- ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว ไว้กลางแจ้ง เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้
- สำหรับบริเวณยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดเกษตรกรอาจให้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีสีเข้มแก่พืช เพื่อดูดความร้อนจากแสงแดดและเพิ่มอุณหภูมิดิน
- ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรเลือกปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย เนื่องจากช่วงนี้และระยะต่อไปปริมาณฝนจะมีน้อย
ภาคกลาง
- อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. เว้นแต่ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. มีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียสความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
- ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. แม้จะมีฝนตกแต่ปริมาณน้อย เกษตรกรที่มีแหล่งน้ำเป็นของตนเองควรใช้น้ำอย่างประหยัด และวางแผนการใช้น้ำทางด้านการเกษตรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ตลอดช่วงแล้ง
- สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้วหากเปียกฝน ควรลดความชื้นก่อนนำเข้าโรงเก็บ เพื่อไม่ให้ผลผลิตเน่าเสียหาย
ภาคตะวันออก
- อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้าในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 15-16 องศาเซลเซียส เว้นแต่ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
- ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. จะมีฝนฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ และมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว ไว้กลางแจ้ง เพราะอาจเปียกชื้นเสียหายได้ นอกจากนี้ควรกักเก็บน้ำฝนที่จตกไว้ใช้ในช่วงแล้งด้วย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
- อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปโดยเฉพาะในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-45 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 75-90%
- ในช่วงที่มีฝนตกหนักติดต่อกัน อาจเกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ เกษตรกรบริเวณภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปควรระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว
- ส่วนตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปโดยเฉพาะในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. จะมีฝนตกชุก อาจทำให้สภาะน้ำเค็มปลี่ยนแปลง ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นด้วย
- อนึ่ง ในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปจะมีคลื่นลมแรง ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงดังกล่าว
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
- อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่งทางตอนล่าง ของภาคโดยเฉพาะในช่วงวันที่ 12-15 ม.ค. อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
- เกษตรกรควรกักเก็บน้ำฝนที่จะตกในช่วงนี้เพื่อไว้ใช้ในการเกษตร รวมทั้งวางแผนการจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำพอใช้ในช่วงแล้ง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74