พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรตั้งระหว่าง 08 กุมภาพันธ์ 2555 - 14 กุมภาพันธ์ 2555

ข่าวทั่วไป Thursday February 9, 2012 06:52 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 08 กุมภาพันธ์ 2555 - 14 กุมภาพันธ์ 2555

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 8-10 ก.พ. ทางตอนบนอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 13-17 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 11-14 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้าโดยอุณหภูมิจะลดลง 4-6 องศาเซลเฃียส และ อุณหภูมิต่ำสุด 11-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%

  • เกษตรกรควรเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา
  • สำหรับพื้นที่ที่มีหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจาก เชื้อรา หากพบควรรีบป้องกันกำจัด
  • สำหรับผู้ที่ปลูกไม้ดอกและผักชนิดต่างๆ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ดอกและใบอ่อนเสียหายได้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากทางตะวันออกและตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-14 องศา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 12-14 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%

  • ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ.จะมีฝนเป็นแห่งๆถึงกระจาย เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งในช่วงดังกล่าวและป้องกันความเสียหายจากลมกระโชกแรง สำหรับผู้ปลูกมะขามหวานฝนที่ตกในช่วงนี้อาจทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้
  • ช่วงนี้แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณน้อย ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของพืชที่กำลังเจริญเติบโต เกษตรกรจึงควรช่วยรักษาความชื้นในดิน โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้แห้ง หรือฟางข้าว คลุมตามโคนต้นพืช หรือแปลงปลูกพืช

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. ทางตอนบนของภาคอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 12-14 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้าโดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%

-สำหรับเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทานและปลูกพืชในระยะนี้ควรมีน้ำสำรองให้พืชในระยะเจริญเติบโต เพราะหากมีน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตด้อยคุณภาพ

  • ส่วนไม้ผลที่กำลังติดผลอ่อน เช่น มะม่วงและส้มโอ ชาวสวนควรดูแลให้น้ำ รวมทั้งระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืช โดยเฉพาะเพลี้ยชนิดต่างๆ

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 8-12 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 13-14 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้ากับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%

  • ช่วงนี้แม้มีฝนตกแต่ปริมาณไม่เพียงพอสำหรับ ไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล ชาวสวนควรดูแลให้น้ำเพิ่มเติม เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ผลแคระแกร็น
  • เกษตรกรควรวางแผนการจัดการน้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

  • ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 8-10 และ 13-14 ก.พ. มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส อ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่บริเวณจังหวัดชุมพรขึ้นมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. อ่าวไทยตอนล่าง ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 11-12 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
  • ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 8-12 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ส่วนในช่วงวันที่ 13-14 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
  • ระยะนี้ทางฝั่งตะวันออก สภาพอากาศค่อนข้างชื้น อาจทำให้มีศัตรูพืชจำพวกหนอนเข้าทำลายไม้ผล เช่น มังคุด และทุเรียน ที่อยู่ในระยะแตกใบอ่อน ทำให้ต้นทรุดโทรม หากพบเกษตรกรควรรีบป้องกันกำจัด
  • ในช่วงวันที่ 8-14 ก.พ. บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปจะมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

คำพยากรณ์ได้ให้ไว้ในภาคใต้ฝั่งตะวันออกแล้ว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ