พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรตั้งระหว่าง 10 กุมภาพันธ์ 2555 - 16 กุมภาพันธ์ 2555

ข่าวทั่วไป Monday February 13, 2012 06:58 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 10 กุมภาพันธ์ 2555 - 16 กุมภาพันธ์ 2555

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 11-17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 15-16 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 14-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-10 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85% -ระยะนี้ทางตอนบนของภาคมีอากาศ แห้ง เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเผาตอซัง หรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอัคคีภัยและเพิ่มหมอกควันในอากาศ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และการสัญจร - ในช่วงวันที่ 10 - 14 ก.พ. มีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ เกษตรกรทางตอนล่างของภาคไม่ควรตากผลผลิตการเกษตรไว้กลางแจ้ง รวมทั้งลดความชื้นของผลผลิตก่อนนำเข้าโรงเก็บ เพื่อไม่ให้ผลผลิตเน่าเสียหาย - สำหรับพื้นที่ที่มีหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจาก เชื้อรา เช่น โรคราน้ำค้าง ซึ่งจะทำลายผลผลิตให้เสียหาย ด้อยคุณภาพ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-14 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15-16 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80% - ช่วงนี้แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณน้อย ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของพืชที่กำลังเจริญเติบโต เกษตรกรจึงควรช่วยรักษาความชื้นในดิน โดยใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้แห้ง หรือฟางข้าว คลุมตามโคนต้นพืช หรือแปลงปลูกพืช - สภาพอากาศแห้ง เหมาะกับการเกิดระบาดของเพลี้ยแป้งในมันสัมปะหลัง เกษตรกรควรหมั่นตรวจแปลงเพราะปลูก หากพบควรรีบกำจัด ก่อนจะระบาดเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุม

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 12-16 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80% -ระยะนี้อากาศแห้ง และอุณหภูมิจะสูงขึ้นในตอนกลางวัน เกษตรกรปลูกข้าวนาปรังควรระวังการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ที่เข้าทำลายผลผลิต - ส่วนไม้ผลที่กำลังติดผลอ่อน เช่น มะม่วงและส้มโอ ชาวสวนควรดูแลให้น้ำ รวมทั้งระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืช โดยเฉพาะเพลี้ยชนิดต่างๆ

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15-16 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้ากับมีฝนฟ้าคะนอง โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80% - ช่วงนี้แม้มีฝนตกแต่ปริมาณไม่เพียงพอสำหรับ ไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล ชาวสวนควรดูแลให้น้ำเพิ่มเติม เพราะหากขาดน้ำจะทำให้ผลชะงักการเจริญเติบโต นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ผลแคระแกร็น - เกษตรกรควรจัดการน้ำที่ เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพเพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 11-14 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15-16 ก.พ. มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85% - ระยะนี้ทางฝั่งตะวันออก สภาพอากาศค่อนข้างชื้น อาจทำให้มีศัตรูพืชจำพวกหนอนเข้าทำลายไม้ผล เช่น มังคุด และทุเรียน ที่อยู่ในระยะแตกใบอ่อน ทำให้ต้นทรุดโทรม หากพบเกษตรกรควรรีบป้องกันกำจัด - ในช่วงวันที่ 10-14 ก.พ. บริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปจะมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 11-14 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ส่วนในช่วงวันที่ 15-16 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80% - ระยะนี้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกแต่ปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกร ควรดูแลให้น้ำเพิ่มเติม เพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชผลชะงักการเจริญเติบโต

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ