ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 13 กุมภาพันธ์ 2555 - 19 กุมภาพันธ์ 2555
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 13-17 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอย มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ช่วงนี้อุณหภูมิเวลากลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองและสัตว์เลี้ยงให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- ในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ.จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ เกษตรกรควรค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลที่กำลังให้ผลผลิตให้แข็งแรง รวมทั้งหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้ง เพราะจะเปียกชื้นเสียหาย
- ระยะนี้ทางตอนบนของภาคมีอากาศแห้ง เกษตรกรไม่ควรเผาตอซังหรือวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัยและไฟป่า รวมทั้งเป็นการเพิ่มหมอกควันในอากาศ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และการสัญจร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งในระยะแรก จากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู มีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ระยะนี้เป็นช่วงเปลี่ยนฤดู สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย เนื่องจากร่างกายปรับตัวไม่ทัน
- ในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ.จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ เกษตรกรควรป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร รวมทั้งหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้ง เพราะจะเปียกชื้นเสียหาย
- ระยะนี้แม้ว่าจะมีฝนตก แต่มีปริมาณไม่มาก เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำที่สำรองไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ตลอดช่วงแล้ง
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 13-17 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า และมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ช่วงนี้สภาพอากาศแห้ง ทำให้น้ำระเหยจากดินและพืชมาก เกษตรกรควรคลุมบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เพื่อสงวนความชื้นดิน รวมทั้งควรให้น้ำแก่พืชอย่างพอเพียง เพราะหากขาดน้ำจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง
- ในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ.จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ เกษตรกรควรป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สินและพืชผลทางการเกษตร
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า และมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ในช่วงวันที่ 13-16 ก.พ. แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณและการกระจายไม่มาก สภาพอากาศยังคงแห้ง อาจมีการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นทรุดโทรมโดยเฉพาะไม้ผลที่อยู่ในระยะติดผลอ่อน จะทำให้ผลผลิตเสียหายได้
- ในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ.จะมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้นได้ เกษตรกรควรค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลที่กำลังให้ผลผลิตให้แข็งแรง เพื่อป้องกันความเสียหาย
- ในช่วงวันที่ 17-19 ก.พ. จะมีฝนเพิ่มขึ้น เกษตรกรควรเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ในระยะต่อไปด้วย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
- ฝั่งตะวันออกในช่วงวันที่ 13-17 ก.พ. มีเมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
- ฝั่งตะวันตกในช่วงวันที่ 13-17 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ส่วนในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- เนื่องจากระยะที่ผ่านมาทางฝั่งตะวันออกมีฝนตกน้อย ประกอบกับในช่วงวันที่ 13-17 ก.พ. ยังคงมีฝนน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืชอย่างเพียงพอ รวมทั้งคลุมบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อสงวนความชื้นภายในดิน
- สำหรับสภาพอากาศที่แห้ง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันการเกิดอัคคีภัยโดยทำแนวกันไฟรอบสวน
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
คำพยากรณ์ รวมอยู่ในส่วนของ ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)แล้ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74