ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 17 ตุลาคม 2555 - 23 ตุลาคม 2555
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 17-20 ต.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-23 ต.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส กับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย นอกจากนี้ควรซ่อมแซมโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้อยู่ในสภาพดีสามารถให้ความอบอุ่นแก่สัตว์เลี้ยงในช่วงฤดูหนาว
- สำหรับข้าวโพดที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงนี้ เกษตรกรควรลดความชื้นก่อนนำเข้าโรงเก็บ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา ซึ่งจะทำลายผลผลิตให้เสียหาย
- ระยะต่อไปปริมาณฝนจะลดลง เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด เพื่อจะได้มีน้ำใช้ตลอดช่วงแล้ง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 17-20 ต.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-23 ต.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80%
- ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- แม้จะมีฝนตกในช่วงนี้ แต่ปริมาณและการกระจายของฝนน้อย เกษตรกรควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืช โดยเฉพาะข้าวที่กำลังออกรวงซึ่งต้องการน้ำมาก
- ส่วนเกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทานควรใช้น้ำอย่างประหยัด เพื่อจะได้มีน้ำพอใช้ในช่วงแล้ง
ภาคกลาง
มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย 30-40 ของพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
- ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว ทางตอนบนของภาคอากาศจะเริ่มเย็นลง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
- ระยะนี้แม้จะมีฝนลดลง แต่สภาพความชื้นในดินยังมีเพียงพอ เกษตรกรที่ต้องการปลูกพืชสามารถปลูกได้ในระยะนี้ และควรเลือกพืชที่ใช้น้ำน้อย มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น รวมทั้งวางแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ตลอดหน้าแล้ง
- สำหรับบริเวณที่มีฝนตก โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งอยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ในระยะต่อไป
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 17-20 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-23 ต.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส กับมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85%
- เกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน ควรเก็บกักสำรองน้ำไว้ใช้สำหรับการเกษตรในช่วงแล้ง นอกจากนี้ควรกำจัดวัชพืชเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากพืช
- สำหรับพื้นที่การเกษตรที่เสียหายจากน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากต้องการปลูกพืชไร่ซ่อมแซมควรรีบปลูก เนื่องจากความชื้นในดินยังมีเพียงพอ และเลือกพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
- ฝั่งตะวันออกมีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ตลอดช่วง และในช่วงวันที่ 17-18 และ 20-23 ต.ค. มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-23 ต.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90% - ฝั่งตะวันตกมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ตลอดช่วง และในช่วงวันที่ 17-18 และ 20-23 ต.ค. มีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90%
-เนื่องจากระยะต่อไปภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำในพื้นที่เพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งขุดลอกคูคลองอย่าให้ตื้นเขิน เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในช่วงที่มีฝนตกหนัก
- สภาพอากาศที่มีความชื้นสูง ชาวสวนยางพาราควรดูแลสวนให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นภายในสวน ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา
- ในช่วงวันที่ 21-23 ต.ค. บริเวณอ่าวไทยตอนล่างทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
คำพยากรณ์ รวมอยู่ในส่วนของ ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)แล้ว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74