พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง ระหว่าง 04 มกราคม 2556 - 10 มกราคม 2556

ข่าวทั่วไป Monday January 7, 2013 07:34 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 04 มกราคม 2556 - 10 มกราคม 2556

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ ทางตอนบนของภาคอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-17 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 18-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ทางตอนบนของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 17-19 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 3-9 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • ในระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรรักษาสุขภาพ ให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรเพิ่มอุณหภูมิภายในโรงเรือน และทำแผงกำบังลมหนาวให้แก่สัตว์เลี้ยงด้วย เพื่อป้องกันสัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • ในช่วงที่มีหมอกหนา เกษตรกรควรขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง
  • ในช่วงที่อุณหภูมิลดลง เกษตรกรควรระวังอย่าให้อุณหภูมิของน้ำเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ซึ่งเป็นสาเหตุให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย นอกจากนี้ ควรลดปริมาณอาหารลง เพราะสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย เพื่อป้องกันเศษอาหารเหลือทำให้น้ำเน่าเสีย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. อากาศหนาวกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • ในระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเอง และสัตว์เลี้ยง อย่างเพียงพอ
  • ส่วนผู้ที่จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตนเอง และสัตว์เลี้ยง หลังจากใช้งานเสร็จแล้วควรดับให้สนิททุกครั้ง รวมทั้งทำแนวกันไฟรอบพื้นที่เพาะปลูก และอาคารบ้านเรือน เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย
  • สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลอุณหภูมิน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพราะสัตว์น้ำจะปรับตัวไม่ทัน ทำให้อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 19-23 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย หากร่างกายปรับตัวไม่ทัน
  • สภาพอากาศแห้งและมีแสงแดดจัด ทำให้น้ำระเหยไปจากดินได้มาก เกษตรกรจึงควรคลุมบริเวณแปลงปลูกด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง เพื่อสงวนความชื้นในดิน

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. อากาศเย็นทางตอนบนของภาคกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 18-21 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

  • ระยะนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกร ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
  • ในช่วงที่อุณหภูมิลดลง เกษตรกรควรลดปริมาณอาหารของสัตว์น้ำ เนื่องจากสัตว์น้ำ จะกินอาหารได้น้อยลง อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย
  • เนื่องจากระยะนี้เป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรดูแลให้น้ำอย่างเพียงพอแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโต รวมทั้งควรวางแผนการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไป อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา: ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร

  • ระยะนี้ทางตอนบนของภาค มีปริมาณฝนไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชที่ปลูก เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ผลผลิตลดลงได้
  • ทางตอนล่างของภาค สภาพอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรดูแลบริเวณพื้นที่เพาะปลูกให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา
  • ในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. ภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีลงไป จะมีฝนตกหนัก เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว
  • อนึ่งในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค.56 คลื่นลมบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ผู้ที่เพาะเลี้ยง สัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 4-6 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

สภาพอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรดูแลบริเวณพื้นที่เพาะปลูกให้โปร่งอากาศถ่ายเทได้สะดวก เพื่อลดความชื้นป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ