พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 07 มกราคม 2556 - 13 มกราคม 2556

ข่าวทั่วไป Tuesday January 8, 2013 07:39 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 07 มกราคม 2556 - 13 มกราคม 2556

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค. มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 3-5 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง ทางตอนบนของภาคอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-15 องศาเซลเซียส ส่วนทางตอนล่างของภาคอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-19 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 2-8 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค. จะมีหมอกหนาในบางพื้นที่ เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวังขณะขับผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา นอกจากนี้เกษตรกรไม่ควรตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะจะได้รับความชื้นจากหมอกและน้ำค้าง
  • ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อากาศจะหนาวเย็นลงและมีลมแรง เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ตนเองและสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ รวมทั้งทำแผงกำบังลมหนาวให้แก่สัตว์เลี้ยงด้วย สำหรับบริเวณยอดดอยจะมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค. อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 9-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภู อากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

  • ระยะนี้อากาศแห้งและมีลมแรง เกษตรกรที่จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังการใช้งาน และทำแนวกันไฟรอบๆ พื้นที่การเกษตร เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย
  • ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลงจนมีอากาศหนาวทั่วไป เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ตนเองและสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ รวมทั้งทำแผงกำบังลมหนาวให้แก่สัตว์เลี้ยงด้วย สำหรับผู้ที่เลี้ยงปลาควรลดปริมาณอาหารที่ให้น้อยกว่าปกติ เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงทำให้ปลากินอาหารได้น้อย เศษอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียได้

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก เฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อากาศจะหนาวเย็นลง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  • ระยะนี้จะมีแสงแดดจัด เกษตรกรสามารถนำผลผลิตทางการเกษตรออกผึ่งแดดเพื่อลดความชื้น
  • สำหรับเกษตรกรที่ปลูกพืชนอกเขตชลประทานโดยใช้แหล่งน้ำของตนเองควรวางแผนการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ตลอดช่วงแล้ง

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 7-9 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 10-13 ม.ค. อากาศจะหนาวเย็นลง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • ไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอก ชาวสวนควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงส่งผลให้การติดผลลดลง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

  • ฝั่งตะวันออกในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. ตอนบนของภาคตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมามีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ส่วนตอนล่างของภาคตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักบางแห่งตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 11-13 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางล่างของภาค ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมาลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนตั้งแต่จังหวัดนครศรี ธรรมราชลงไปลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.
  • ฝั่งตะวันตกในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 11-13 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
  • ระยะนี้ทางตอนบนของภาคซึ่งมีฝนตกน้อย เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืชที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม
  • ในช่วงวันที่ 7-10 ม.ค. ทางตอนล่างของภาคใต้ฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไปจะมีฝนตกหนัก เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงภัยควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับทรัพย์สินและพืชผลทางการเกษตรจากสภาวะที่มีฝนตกหนักติดต่อกัน
  • ระยะนี้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ส่วนในช่วงวันที่ 11-13 ม.ค. ผู้ที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งควรระวังความเสียหายจากคลื่นซัดฝั่ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

คำพยากรณ์ รวมอยู่ในส่วนของ ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)แล้ว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ