พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 18 กุมภาพันธ์ 2556 - 24 กุมภาพันธ์ 2556

ข่าวทั่วไป Tuesday February 19, 2013 07:00 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 18 กุมภาพันธ์ 2556 - 24 กุมภาพันธ์ 2556

ภาคเหนือ

ในวันที่ 18-20 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน และมีฝนเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-24 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

  • ระยะนี้อุณหภูมิอากาศระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก ร่างกายอาจปรับตัวไม่ทันและเจ็บป่วยได้ เกษตรกรจึงควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
  • ในช่วงวันที่ 21-24 ก.พ. จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรผูกยึด ค้ำยันกิ่งและ ลำต้นของไม้ผลให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรที่แก่ดีแล้ว เกษตรกรควรรีบเก็บเกี่ยว
  • ในช่วงนี้แม้จะมีฝนตกแต่ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ประกอบกับมีน้ำระเหยจากพื้นดินมาก เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงวันที่ 18-19 ก.พ. อากาศเย็นทางตอนบนของภาคกับมีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-37 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 20-24 ก.พ. อากาศเย็นในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

  • ระยะนี้อุณหภูมิอากาศระหว่างกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันมาก เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • ในช่วงวันที่ 20-24 ก.พ. จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับพืชผลทางเกษตรจากสภาวะดังกล่าว
  • เนื่องจากระยะนี้แม้จะมีฝนตกแต่ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทานควรวางแผนการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด และคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อรักษาความชื้นภายในดิน

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 18-20 ก.พ. มีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 21-24 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

  • ระยะนี้อุณหภูมิอากาศร้อนในช่วงกลางวัน ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรปรับปรุงโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้อากาศถ่ายเท ได้สะดวก เพื่อป้องกันสัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อควรดูแลปริมาณน้ำให้เหมาะสมกับจำนวนสัตว์น้ำที่เลี้ยงหากขาดความสมดุลจะทำให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 18-20 ก.พ. มีหมอกบางในตอนเช้า และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ส่วนมากตามบริเวณชายฝั่ง อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 21-24 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 21-24 ก.พ. จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ชาวสวนผลไม้ควรสำรวจวัสดุอุปกรณ์ที่ผูกยึดและค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง
  • ระยะนี้แม้จะมีฝนตก แต่ปริมาณไม่มาก เกษตรกรควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชที่กำลังเจริญเติบโต และไม้ผลที่อยู่ในระยะให้ผลผลิตอย่างเพียงพอ

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 18-22 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส อ่าวไทยตอนบนตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นมา : ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร อ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป : ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 23-24 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ 40-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร

  • ในระยะนี้ทางตอนบนของภาค ปริมาณฝนที่ตกมีน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโต รวมทั้งควรระวังศัตรูพืชจำพวกปากดูดซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้ต้นทรุดโทรม ส่งผลต่อผลผลิตได้
  • ส่วนทางตอนล่างของภาค จะมีฝนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในช่วงที่ผ่านมาได้
  • สำหรับบริเวณที่มีฝนตกหนักเกษตรกรควร กักเก็บน้ำเอาใว้ใช้ทางด้านการเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นช่วงแล้ง ปริมาณและการกระจายของฝนจะมีน้อย - ในช่วงวันที่ 23—24 ก.พ. บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง จะมีคลื่นลมแรงสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 18-22 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 23-24 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองเป็นถึงกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 เมตร ห่างคลื่นสูง 1-2 เมตร

  • ในระยะนี้ทางตอนบนของภาค ปริมาณฝนที่ตกมีน้อย เกษตรกรควรดูแลให้น้ำแก่พืชอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโต รวมทั้งควรระวังศัตรูพืชจำพวกปากดูดซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากพืช ทำให้ต้นทรุดโทรม ส่งผลต่อผลผลิตได้
  • ส่วนทางตอนล่างของภาค จะมีฝนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในช่วงที่ผ่านมาได้
  • สำหรับบริเวณที่มีฝนตกหนักเกษตรกรควร กักเก็บน้ำเอาใว้ใช้ทางด้านการเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นช่วงแล้ง ปริมาณและการกระจายของฝนจะมีน้อย - ในช่วงวันที่ 23—24 ก.พ. บริเวณอ่าวไทยตอนล่าง จะมีคลื่นลมแรงสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ