พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 11 มีนาคม 2556 - 17 มีนาคม 2556

ข่าวทั่วไป Tuesday March 12, 2013 07:01 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 11 มีนาคม 2556 - 17 มีนาคม 2556

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 11-13 มี.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรง บางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

  • เนื่องจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืน เกษตรกรควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยหากร่างกายปรับตัวไม่ทัน
  • สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • ฝนที่ตกในระยะนี้จะมีปริมาณไม่มาก เกษตรกรที่ปลูกพืชไร่ และพืชผัก ควรดูแลให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืช

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 11-13 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากทางด้านตะวันออกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. อากาศร้อนกับฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

-ในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้น เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับอาคารบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างที่ไม่แข็งแรง

  • สำหรับสภาพอากาศที่ร้อนในตอนกลางวัน ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก รวมทั้งจัดหาน้ำให้แก่สัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันสัตว์เครียดและเจ็บป่วย
  • สภาพอากาศร้อนและแห้งเหมาะต่อการระบาดของเพลี้ยแป้งในมันสำปะหลัง เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงเพาะปลูก หากพบควรรีบกำจัดเพื่อไม่ให้ระบาดไปยังแปลงอื่นๆ

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 11-14 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถีงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

-สำหรับสภาพอากาศที่ร้อนในระยะนี้ ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรลดอุณหภูมิในโรงเรือน และจัดหาน้ำให้แก่สัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันสัตว์เครียดและเจ็บป่วย

  • ระยะนี้แม้จะมีฝนแต่ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช ดังนั้นเกษตรกรจึงควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ย ในพืชไร่ ไม้ผล ไม้ดอก ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ต้นทรุดโทรม ผลผลิตลดลง

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 11-13 มี.ค. ทางตอนบนของภาคอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางด้านตะวันออกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 24-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

-ในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. จะมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆกับลมกระโชกแรงเกิดขึ้นเกษตรกรควรผูกยึดค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผล เช่น ทุเรียน เงาะ และมังคุด ให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันการหักโค่น

  • แม้จะมีฝนตกในระยะนี้ แต่มีปริมาณน้อย เกษตรกรที่ปลูกพืชไร่และพืชผัก ควรดูแลให้น้ำอย่างเหมาะสม เพราะหากได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 11-15 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ส่วนมากทางตอนบนของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 16-17 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

  • ระยะนี้แม้จะมีฝนแต่ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช ดังนั้นเกษตรกรจึงควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโต
  • ในระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัดเพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง
  • สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอกและติดผลอ่อน เช่น เงาะและมังคุด เกษตรกรควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกหนอน ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อน ทำให้ต้นทรุดโทรม

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

  • ระยะนี้แม้จะมีฝนแต่ปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของพืช ดังนั้นเกษตรกรจึงควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันพืชชะงักการเจริญเติบโต
  • ในระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัดเพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง
  • สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะออกดอกและติดผลอ่อน เช่น เงาะและมังคุด เกษตรกรควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกหนอน ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อน ทำให้ต้นทรุดโทรม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ