พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 11 พฤศจิกายน 2556 - 17 พฤศจิกายน 2556

ข่าวทั่วไป Tuesday November 12, 2013 08:04 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 11 พฤศจิกายน 2556 - 17 พฤศจิกายน 2556

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 11-13 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 14-17 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 6-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

  • เนื่องจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืน เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • ระยะนี้อาจมีหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรไม่ควรตากผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้วไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะอาจเปียกชื้นและเสียหายได้
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพราะสัตว์เลี้ยงอาจปรับตัวไม่ทันจนทำให้อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ในระยะแรกและอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. จะมีฝนฟ้าคะนองป็นแห่งๆ ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ทางตอนล่างของภาค เกษตรกรไม่ควรตากผลผลิตไว้กลางแจ้ง เพราะจะทำให้เปียกชื้นและเสียหายได้ และควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร ในระยะต่อไป
  • สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้วหาก เปียกฝน เกษตรกรควรลดความชื้นก่อนนำเข้าโรงเก็บ เพื่อป้องกันผลผลิตเน่าเสียหาย
  • เนื่องจากระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมีมาก เกษตรกรควรคลุมบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางด้านการเกษตร เช่นใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เพื่อป้องกันน้ำระเหยจากผิวดิน เพื่อรักษาความชื้นภายในดิน

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 11 -14 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ในระยะแรก และอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียสอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ส่วนในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างของภาคอุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

  • สำหรับพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง
  • ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย รวมทั้งหมั่นสังเกตหากพบตัวที่ป่วยควรรีบแยกออกจากกลุ่มเพื่อรักษา ป้องกันเชื้อโรคแพร่ไปยังตัวอื่นๆ

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ย. อากาศเย็นทางตอนบนของภาค โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็น อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส

  • ในช่วงวันที่ 15 -17 พ.ย. จะมีฝนฟ้าคะนอง เกษตรกรที่ปลูกพืชผักสวนครัว เช่น พริก และมะเขือควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราโดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่า และไม่ควรนำผลผลิตออกตากแดดในระยะนี้
  • สำหรับผู้ที่ปลูกไม้ผลไม่ควรกองสุมวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรไว้ในแปลงเพาะปลูกเพราะจะเป็นแหล่งอาศัยหลบซ่อนของโรคและศัตรูพืชโดยเฉพาะโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา
  • ในระยะต่อไปเป็นช่วงแล้งเกษตรกรควรวางแผนการจัดการน้ำที่กักเก็บใว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 11-14 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจายถึงเกือบทั่วไป ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณตอนบนของภาค ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม. อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส

  • สำหรับทางตอนบนของภาค พื้นที่การเกษตรที่มีน้ำท่วมขังอยู่ เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกอย่าให้น้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศและต้นตายได้
  • ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. จะมีฝนตกชุกและฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนบนของภาค เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงภัยควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากฝนตกหนัก สำหรับบริเวณที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืช

-ส่วนชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคหน้ากรีดยางและโรคราสีชมพู ซึ่งมักระบาดในช่วงที่มีความชื้นสูง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

ในช่วงวันที่ 11-15 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ในช่วงวันที่ 16-17 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนบนของภาคลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

  • ในช่วงวันที่ 15-17 พ.ย. จะมีฝนตกชุกและฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนบนของภาค เกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงภัยควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากฝนตกหนัก สำหรับบริเวณที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดทำทางระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืช

-ส่วนชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคหน้ากรีดยางและโรคราสีชมพู ซึ่งมักระบาดในช่วงที่มีความชื้นสูง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ