ระหว่าง 13 มกราคม 2557 - 19 มกราคม 2557
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 13-17 ม.ค. อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะลดลง 4-6 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 9-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-31 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 3-7 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. จะมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 18-19 ม.ค. อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้นเล็กน้อย อุณหภูมิต่ำสุด 11-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส
- ในระยะนี้อากาศจะหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และทำแผงกำบังลมหนาวหรือเพิ่มดวงไฟในโรงเรือนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่สัตว์เลี้ยง
- สำหรับบริเวณยอดดอย ยังมีอากาศหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งในบางพื้นที่ เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองและสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ และระวังความเสียหายจากน้ำค้างแข็งที่จะเกิดกับพืชผลเมืองหนาว
- สภาพอากาศที่เย็นและชื้นในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราน้ำค้างในพืชผัก ไม้ดอก และราสนิมในกาแฟ
- เกษตรกรไม่ควรเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เนื่องจากควันไฟจะแผ่ปกคลุมบริเวณใกล้เคียง ทำให้ทัศนวิสัยลดลง และเกิดเป็นมลพิษ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลงได้ 5-7 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง อากาศหนาวกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 10-15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
- ระยะนี้อุณหภูมิจะลดลงจนมีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป กับมีลมแรง เกษตกรกรควรเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ ส่วนผู้ที่จุดไฟผิงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นควรดับไฟให้สนิททุกครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดอัคคีภัย
- สำหรับผู้เลี้ยงสัตว์น้ำควรควบคุมอุณหภูมิน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน และให้อาหารน้อยกว่าปกติ เนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลง สัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียได้
- ระยะนี้สภาพอากาศแห้ง ชาวสวนยางพาราควรป้องกันการเกิดอัคคีภัย โดยเก็บกวาดกิ่งไม้และใบไม้แห้งในสวนให้โล่งเตียน รวมทั้งทำแนวป้องกันไฟไว้ด้วย
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 14-16 ม.ค. อากาศเย็นถึงหนาว และมีลมแรง โดยอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 13-17 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 17-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.
- ระยะนี้อากาศจะหนาวเย็น เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็วป้องกันสัตว์ปรับตัวไม่ทันจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
- ระยะนี้ในตอนกลางวันท้องฟ้าโปร่งและมีแสงแดดจัด เกษตรกรสามารถตากผลผลิตทางการเกษตรเพื่อลดความชื้น
- ช่วงนี้สภาพอากาศแห้งและน้ำระเหยมาก เกษตรกรควรสงวนความชื้นในดิน โดยคลุมดินรอบโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 14-16 ม.ค. อากาศเย็น และมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณเทือกเขาอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส ตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.
- ระยะนี้อากาศจะหนาวเย็น เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- สำหรับสภาพอากาศแห้งและน้ำระเหยมาก ไม้ผลที่ดอกบานและติดผลแล้ว ชาวสวนควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งกำจัดวัชพืชภายในสวน เพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากไม้ผล นอกจากนี้ควรป้องกันกำจัดศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยไว้ด้วย
- ในระยะต่อไปเป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรวางแผนจัดการการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรตลอดในช่วงแล้ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
- ระยะนี้ทางตอนบนของภาคจะมีสภาพอากาศแห้ง ประกอบกับในระยะที่ผ่านมาไม่มีฝนตกในหลายพื้นที่ เกษตรควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ และคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งระวังป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้พืชเสียหาย
- ส่วนทางตอนล่างของภาคยังคงมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย บริเวณที่ฝนตกหนัก เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง
- ส่วนชาวสวนยางพารา และสวนผลไม้ควรดูแลสวนให้โปร่งเพื่อป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งมักระบาดในช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง
- ในช่วงวันที่ 13 –19 ม.ค.คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีกำลังแรงโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกฝั่งไว้ด้วย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 13-16 ม.ค. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 17-19 ม.ค. อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่งถึงเป็นแห่งๆ ร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฏร์ธานีขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร
- ระยะนี้ทางตอนบนของภาคจะมีสภาพอากาศแห้ง ประกอบกับในระยะที่ผ่านมาไม่มีฝนตกในหลายพื้นที่ เกษตรควรจัดหาน้ำเพิ่มเติมให้แก่พืชที่กำลังเจริญเติบโตอย่างเพียงพอ และคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อรักษาความชื้นในดิน รวมทั้งระวังป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด ซึ่งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้พืชเสียหาย
- ส่วนทางตอนล่างของภาคยังคงมีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย บริเวณที่ฝนตกหนัก เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง
- ส่วนชาวสวนยางพารา และสวนผลไม้ควรดูแลสวนให้โปร่งเพื่อป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ซึ่งมักระบาดในช่วงที่อากาศมีความชื้นสูง
- ในช่วงวันที่ 13 –19 ม.ค.คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปมีกำลังแรงโดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกฝั่งไว้ด้วย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74