ระหว่าง 18 กันยายน 2558 - 24 กันยายน 2558
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 19-21 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ส่วนในช่วงวันที่ 22-24 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
- เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลงโดยเริ่มจากทางตอนบนของภาคก่อน เกษตรกรควรเริ่มกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ทางด้านการเกษตร เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงที่มีฝนตกน้อย
- สำหรับทางตอนบนของภาค เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
- ส่วนทางตอนล่างของภาคซึ่งมีฝนตกทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคไหม้ในข้าวนาปี โรครากเน่าโคนเน่าในไม้ผล เป็นต้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 19-20 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ส่วนในช่วงวันที่ 21-24 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
- เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะเริ่มลดลง โดยเฉพาะทางตอนบนของภาค เกษตรกรควรกักเก็บน้ำเอาไว้ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนตกน้อย
- สำหรับทางตอนล่างของภาคที่มีฝนตกชุก ชาวนาควรระวังและป้องกันหอยเชอรีที่ลอยมากับน้ำ โดยใช้ตาข่ายดักบริเวณทางน้ำไหลเข้านา แล้วจับหอยไปทำลาย เพื่อไม่ให้เข้ามาแพร่พันธุ์ในแปลงนา
- ฝนที่ตกในระยะนี้ทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ตลอดจนข้าวนาปี เป็นต้น
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 19-21 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ส่วนในช่วงวันที่ 22-24 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
- พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรขุดลอกคูคลองและทางระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก อย่าให้น้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน ทำให้รากพืชเน่า ต้นพืชตายได้
- สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลหลังคาโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้รั่วซึม พื้นคอกไม่ชื้นแฉะ เพราะจะทำให้สัตว์เลี้ยงอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย และควรหมั่นสังเกตหากพบสัตว์ป่วยควรรีบแยกออกจากกลุ่มและทำการรักษา เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปยังตัวอื่นๆ
- ส่วนผู้ที่ปลูกกล้วยไม้ในโรงเรือนในช่วงที่มีฝนตกทำให้สภาพอากาศชื้น เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคยอดเน่า และโรคแอนแทรกโนส เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ต้นเสียหาย ผลผลิตด้อยคุณภาพ
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 19-21 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 22-24 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
- สำหรับพื้นที่การเกษตรที่ถูกน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมา หากระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูก อย่าให้น้ำขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เกิน7 วัน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศต้นพืชตายได้
- บริเวณที่มีน้ำท่วม เกษตรกรควรระวังโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โรคตาแดง และน้ำกัดเท้า เป็นต้น ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่ชื้นแฉะเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้สัตว์อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 19-21 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆถึงกระจาย ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 22-24 ก.ย. มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
- สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะผลแก่และเก็บเกี่ยว เกษตรกรไม่ควรปล่อยให้ผลที่ร่วงหล่นและเน่าเสียกองอยู่ภายในบริเวณสวน แต่ควรนำไปกำจัดให้ถูกวิธี โดยเผาหรือฝังให้ลึก เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของโรคและศัตรูพืช
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ตลอดช่วง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส
- ในช่วงที่ผ่านมาทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนตกติดต่อกันทำให้ความชื้นในดินและในอากาศสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคราสีชมพู ในยางพารา โรคราสนิมในกาแฟ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74