ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 11 พฤศจิกายน 2559 - 17 พฤศจิกายน 2559
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 11-13 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส เว้นแต่ในช่วงวันที่ 11-12 พ.ย. จะมีฝนตกด้านตะวันตกของภาค ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาใน บางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 18-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- ผลผลิตทางการเกษตร ผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว เช่น ข้าว และข้าวโพด ไม่ควรตากทิ้งไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะอาจเปียกชื้นเสียหาย เนื่องจากหมอกได้
- เกษตรกร สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง โดยมีอากาศเย็นในตอนเช้า เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย และเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับกันหนาวเอาไว้ให้พร้อม
- พืชสวน ระยะนี้ในบางพื้นที่มีหมอกในตอนเช้า เกษตรกรควรป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น ราแป้งในมะขามหวาน และราสนิมในกาแฟ เป็นต้น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 11-12 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 17 พ.ย. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- ผลผลิตทางการเกษตร สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวมาแล้วหากเปียกฝน ในช่วงที่ผ่านมา เกษตรกรควรนำออกผึ่งแดดเพื่อลดความชื้นก่อนนำเข้าโรงเก็บ เพื่อป้องกันผลผลิตเน่าเสียหาย
- สัตว์เลี้ยง สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผู้เลี้ยงสัตว์ควรดูแลโรงเรือนอย่าให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยของสัตว์ โดยเฉพาะโรคหวัดในสัตว์ปีก
ภาคกลาง
ส่วนในช่วงวันที่ 11-13 พ.ย. มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 พ.ย. มีอากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียสอุณหภูมิต่ำสุด 20-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม.
- พื้นที่การเกษตร เนื่องจากระยะต่อไปปริมาณฝนจะลดลง เกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน หากต้องการปลูกพืชรอบใหม่ ควรเลือกปลูกพืชที่มีระยะเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย เช่น พืชตะกูลถั่วและพืชผัก เป็นต้น
- สัตว์เลี้ยง ในช่วงนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรหมั่นสังเกตการเจ็บป่วยของสัตว์ หากพบสัตว์ป่วยควรแยกออกจากกลุ่ม และทำการรักษาโดยเฉพาะในสัตว์ปีก อาจป่วยเป็นโรคหวัดได้
ภาคตะวันออก
ในวันที่ 11-13 พ.ย. ทางตอนบนของภาคอากาศเย็นและมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลงเล็กน้อย ส่วนในวันที่ 14-17 พ.ย. ทางตอนบนของภาคอากาศเย็นและมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส
- ไม้ผล แม้ระยะนี้ปริมาณฝนจะลดลงจากช่วงที่ผ่านมา แต่ความชื้นในดินยังคงมีอยู่ ชาวสวนผลไม้ควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรครากเน่าและโคนเน่า
- พืชไร่/พืชผัก เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่และพืชผักที่จะกัดกินส่วนที่อ่อนทำให้ผลผลิตลดลง เกษตรกรจึงควรหมั่นสำรวจพื้นที่เพาะปลูก หากพบศัตรูพืชดังกล่าวควรรีบกำจัด เพื่อป้องกันการระบาดเป็นบริเวณกว้าง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในวันที่ 11-13 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค ส่วนในวันที่ 14-17 พ.ย. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร ในช่วงวันที่ 11-13 พ.ย. บริเวณทางฝั่งตะวันออกของภาคจะมีฝนตกต่อเนื่องและจะมีฝนตกหนักบางแห่ง พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังเมื่อมีฝนตกหนัก
- ยางพารา สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพารา ควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วง ลูกยางเน่า และโรคหน้ากรีดยาง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง
- ชาวเรือและชาว ประมง ระยะนี้บริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นลมแรง ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ตลอดช่วง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร ในช่วงวันที่ 11-13 พ.ย. บริเวณทางฝั่งตะวันออกของภาคจะมีฝนตกต่อเนื่องและจะมีฝนตกหนักบางแห่ง พื้นที่การเกษตรที่เป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิ
- ยางพารา สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพารา ควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วง ลูกยางเน่า และโรคหน้ากรีดยาง เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง
หมายเหตุ สำหรับแผนที่แสดงสมดุลน้ำสามารถดาวโหลดได้ตามลิงค์นี้ http://www.arcims.tmd.go.th/dailydata/PET7day.php
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตรในวันที่ 11- 17 พฤศจิกายน 2559
ปริมาณฝนสะสมเดือน พฤศจิกายน (1-10) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนตกสะสม 1-100 มม. เป็นส่วนใหญ่ ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคใต้ตอนล่างมีปริมาณฝนสะสม มากว่า 100 มม.
ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนตกสะสม 20-100 มม.เป็นส่วนใหญ่ ส่วนบริเวณที่มีปริมาณฝนสะสม มากกว่า 100 มม. คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคใต้ฝั่งตะวันตก
ศักย์การคายระเหยน้ำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 20-25 มม. เป็นส่วนใหญ่
สมดุลน้ำ บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณสมดุลน้ำสะสม (-20)-(100) มม. เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีปริมาณสมดุลน้ำสะสม มากกว่า 100 มม.
คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านประเทศไทยตอนบนมีฝนตก แต่เนื่องจากระยะต่อไปจะเป็นช่วงแล้ง เกษตรกรควรวางแผนการใช้น้ำเก็บกักให้มีประสิทธิภาพเพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงหน้าแล้ง นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ในพืชไร่ ไม้ผล และผัก เป็นต้น ซึ่งจะกัดกินส่วนอ่อนของพืชทำให้ต้นชะงักกานเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ สำหรับภาคใต้ฝั่งตะวันออกระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจเพิ่มมากขึ้นกับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74