พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 14 ธันวาคม 2559 - 20 ธันวาคม 2559

ข่าวทั่วไป Wednesday December 14, 2016 15:00 —กรมอุตุนิยมวิทยา

ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ

ระหว่าง 14 ธันวาคม 2559 - 20 ธันวาคม 2559

ภาคเหนือ

ในช่วงวันที่ 14-15 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 15-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ส่วนบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม. /ชม. ในช่วงวันที่ 16-20 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้าและอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส กับมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 14-19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.

  • เกษตรกร ช่วงนี้มีอากาศหนาวเย็นโดยทั่วไป ส่วนยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ตนเอง และสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย และควรดับไฟให้สนิททุกครั้งหลังจากจุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่น
  • สัตว์น้ำ ช่วงที่อากาศเย็นลงจะทำให้สัตว์น้ำกินอาหารได้น้อย ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหาร เพราะอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • ไม้ดอกและพืชผัก อากาศที่เย็นลง จะเป็นผลดีต่อไม้ดอก และพืชผัก เมืองหนาว ทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ และลดการระบาดของแมลงศัตรูพืช แต่เกษตรควรระวังโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เนื่องจากหมอกและน้ำค้างในระยะนี้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 7-12 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ในช่วงวันที่ 19-20 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. บริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศาเซลเซียส

  • เกษตรกร สำหรับเกษตรกรที่จุดไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ตนเอง และสัตว์เลี้ยง หากใช้งานเสร็จแล้วควรดับให้สนิททุกครั้ง เพื่อป้องกันไฟลุกลามจนกลายเป็นอัคคีภัย
  • สัตว์เลี้ยง เกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน และทำแผงกำบังลมหนาวให้กับสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันลมโกรกโรงเรือน ป้องกันสัตว์หนาวเย็น อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • สัตว์น้ำ ช่วงที่อากาศเย็นลงจะทำให้สัตว์น้ำกินอาหารได้น้อย ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหาร เพราะอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคกลาง

ในช่วงวันที่ 14-15 อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม. /ชม. ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. และ ในช่วงวันที่ 19-20 ธ.ค. อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การเกษตร สำหรับพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน หากเกษตรกรต้องการปลูกพืชควรมีน้ำสำรองให้พืชในระยะเจริญเติบโต โดยเฉพาะในช่วงผลิดอกออกผลเป็นช่วงที่พืชต้องการน้ำมากกว่าระยะอื่นๆ หากพืชได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ
  • สัตว์เลี้ยง ทางตอนบนของภาคจะมีอากาศเย็นกับมีลมแรงเกษตรกร ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และไม่ควรปล่อยให้ลมหนาวโกรกภายในโรงเรือน เพราะจะทำให้สัตว์เลี้ยงหนาวเย็น จนอ่อนแอและป่วยเป็นโรคได้ง่าย

ภาคตะวันออก

ในช่วงวันที่ 14-15 อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร ในช่วงวันที่ 16-18 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และ ในช่วงวันที่ 19-20 ธ.ค. อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส

  • ไม้ผล สำหรับไม้ผลที่อยู่ในระยะก่อนออกดอก เกษตรกรควรงดให้น้ำ เพื่อให้ต้นเตรียมแทงช่อดอก รอจนเห็นดอกชัดเจนแล้วจึงค่อยให้น้ำโดยให้ในปริมาณที่น้อยก่อนแล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น นอกจากนี้ควรกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นให้โล่งเตียน เพื่อไม่ให้เป็นที่อาศัยหลบซ่อนของโรคและแมลงศัตรูพืช
  • สัตว์น้ำ ช่วงที่อุณหภูมิลดลง เกษตรกรควรเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำไม่ให้เปลี่ยนแปลงมาก รวมทั้งควรลดอาหารลง เนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนสัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อย อาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย เป็นเหตุให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)

ในช่วงวันที่ 14 และ 19-20 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-40 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

  • พื้นที่การ เกษตร สำหรับพื้นที่การเกษตรที่มีน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมาหากระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูกอย่าให้น้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชเน่า ต้นพืชตายได้ หากพบต้นพืชล้มเอนควรผูกยึดให้ตั้งตรงถ้ามีบาดแผลควรทำความสะอาดตัดแต่งบาดแผลแล้วทาด้วยสารป้องกันเชื้อรา
  • ยางพารา สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่าและโรคเส้นดำ ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง โดยหมั่นกำจัดวัชพืชภายในสวนให้โล่งเตียน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นภายในสวน
  • ประมงชายฝั่ง ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค. ภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีคลื่นลมแรงโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งควรระวังป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ตลอดสัปดาห์ ในช่วงวันที่ 14 และ 19-20 ธ.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค. ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม. /ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งทะเลมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา

  • พื้นที่การ เกษตร สำหรับพื้นที่การเกษตรที่มีน้ำท่วมในระยะที่ผ่านมาหากระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากพื้นที่เพาะปลูกอย่าให้น้ำท่วมขังบริเวณโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชเน่า ต้นพืชตายได้ หากพบต้นพืชล้มเอนควรผูกยึดให้ตั้งตรงถ้ามีบาดแผลควรทำความสะอาดตัดแต่งบาดแผลแล้วทาด้วยสารป้องกันเชื้อรา
  • ยางพารา สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่าและโรคเส้นดำ ซึ่งจะทำให้ต้นพืชเสียหาย ผลผลิตลดลง โดยหมั่นกำจัดวัชพืชภายในสวนให้โล่งเตียน เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ลดความชื้นภายในสวน

รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตรในวันที่ 14 - 20 ธันวาคม 2559

ปริมาณฝนสะสมเดือนธันวาคม( 1-13 ธ.ค.) ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเล็กน้อยบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และตราด ส่วนบริเณอื่นๆไม่มีรายงานฝนตก สำหรับภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องโดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งมีฝนตกสะสมสูงสุดประมาณ 600-1000 มม. บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ส่วนบริเวณอื่นๆมีปริมาณฝนสะสมอยู่ในช่วง 50-500 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยตอนบนมีฝนตกเล็กน้อยจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ และตราด ส่วนบริเณอื่นๆไม่มีรายงานฝนตก ส่วนภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องโดยมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันออก ซึ่งมีปริมาณฝนสะสมสุงสุดประมาณ 20-70 มม. บนิเวณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ส่วนบริเวณอื่นๆ โดยเฉพาะภาคใต้ฝั่งตะวันตกและทางตอนล่างของภาค มีปริมาณฝนสะสมน้อย โดยมีฝนสะสมน้อยกว่า 20 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำ ระยะที่ผ่านมาค่าศักย์การคายระเหยน้ำประเทศไทยมีค่าระหว่าง 20-25 มม.ยกเว้นบริเวณบางส่วนของภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 25-30 มม.

สมดุลน้ำ ระยะที่ผ่านมาค่าสมดุลน้ำบริเวรประเทศไทยตอนบนมีค่าเป็นนลบเนื่องจากบริเวณดังกล่าวฝนตกน้อย โดยมีค่าสมดุลน้ำสะสมอยู่ระหว่าง(-10)(-30) มม.ส่วนบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีค่าสมดุลน้ำเป็นบวกเนื่องจากมีฝนตกหนักต่อเนื่อง โดยเฉพาะทางล่างของภาคใต้ฝั่งตะวันออกซึ่งมีค่าสมดุลน้ำสะสมระหว่าง 1-40 มม.ส่วนภาคใต้ตะวันตกมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบ โดยมีค่าสมดุลน้ำระหว่าง (-1)(-30) มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านประเทศไทยตอนบนมีฝนตกน้อย ทำให้พื้นที่โดยทั่วไปมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบ และในช่วง 7 วันข้างหน้าจะไม่มีฝนตก ดังนั้นที่ปลูกพืชผักหรือพืชชนิดอื่นๆควรดูแลให้น้ำแก่พืชที่ปลูกเพิ่มเติม สำหรับภาคใต้โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออกยังมีฝนตกต่อไปอีก แต่ปริมาณไม่หนาแน่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา พื้นที่กานเกษตรที่ถูกน้ำท่วม เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกอย่าให้มีน้ำท่วมขังบริเวรโคนต้นพืชนาน เพราะจะทำให้รากพืชขาดอากาศและเน่า ส่วนบริเวณที่น้ำลดลงแล้วเกษตรกรควรรีบฟื้นฟูสภาพสวนให้ดีดังเดิม นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา ในพืชไร่ ไม้ผลและพืชผักเอาไว้ด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ