ผลกระทบของลักษณะอากาศต่อการเกษตรตามภาคต่าง ๆ
ระหว่าง 17 กรกฎาคม 2560 - 23 กรกฎาคม 2560
ภาคเหนือ
ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 20-23 ก.ค.มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.
- พื้นที่การเกษตร สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนบนและด้านตะวันออกของภาค สำหรับพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแปลงปลูก เมื่อมีฝนตกหนัก
- สัตว์เลี้ยง ในช่วงนี้จะมีฝนตกชุก สภาพอากาศที่แปรปรวน อาจทำให้สัตว์เลี้ยงเครียด ร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันลดลงและอาจจะติดเชื้อโรคได้ง่าย เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ควรหมั่นสังเกตุอาการของ สัตว์เลี้ยง โดยโรคสัตว์ที่ระบาดในช่วงฤดูฝน เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย ซึ่งเป็นโรคระบาดที่สำคัญใน โค กระบือ แพะ แกะ และสุกร หากพบสัตว์ป่วย ควรรีบแยกออกจากกลุ่ม และรีบรักษา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ในช่วงวันที่ 17-18 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 19-23 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
- พื้นที่การเกษตร สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนบนและด้านตะวันออกของภาค สำหรับพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแปลงปลูก เมื่อมีฝนตกหนัก
- ข้าวนาปี ในช่วงนี้จะมีฝนตกชุก อาจทำให้มีปริมาณน้ำในแปลงนาเพิ่มสูงขึ้นและท่วมต้นข้าวที่อยู่ในระยะกล้าถึงปักดำได้ ชาวนาควรหมั่นสำรวจแปลงนาและปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมแปลงนาเมื่อมีฝนตกหนัก รวมทั้งควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคไหม้ ซึ่งจะระบาดมากในช่วงที่สภาพอากาศมีความชื้นสูง
- ปลาในกระชัง สำหรับฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนัก จะทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีตะกอนแขวนลอยมากับน้ำ ทำให้ปลาปรับตัวไม่ทัน เครียด อ่อนแอ กินอาหารได้น้อยลง และอาจน๊อกน้ำตายได้ เกษตรกรควรลดปริมาณอาหาร หากปลาโตได้ขนาดควรรีบทยอยจับขายเพื่อลดความเสี่ยง
ภาคกลาง
ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 20-23 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 22-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.
- พื้นที่การเกษตร สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนหนักบางพื้นที่สำหรับพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแปลงปลูก เมื่อมีฝนตกหนัก
- ข้าวนาปี ในช่วงนี้จะมีฝนตกชุก อาจทำให้มีปริมาณน้ำในแปลงนาเพิ่มสูงขึ้นและท่วมต้นข้าวได้ ชาวนาควรหมั่นสำรวจแปลงนาและปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมแปลงนาเมื่อมีฝนตกหนัก รวมทั้งควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคไหม้ ซึ่งจะระบาดมากในช่วงที่สภาพอากาศมีความชื้นสูง
ภาคตะวันออก
ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20 -35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 20-23 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 -35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองประมาณ 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยเฉพาะทางล่างของภาค สำหรับพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยปรับปรุงจัดระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแปลงปลูก
- สัตว์น้ำ ระยะนี้จะมีฝนตกต่อเนื่องตลอดช่วง ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรหมั่นสังเกตสัตว์ที่เลี้ยงโดยเฉพาะหลังจากที่มีฝนตกซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของน้ำและสภาพน้ำเปลี่ยน อาจจะทำให้สัตว์ปรับตัวไม่ทัน จนอ่อนแอและติดเชื้อโรคได้ง่าย เกษตรกรควรเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อปรับสภาพน้ำ และเป็นการเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำ
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 -35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 20-23 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 -30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1- 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-34 องศาเซลเซียส
- ไม้ผล ในระยะนี้มีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนไม้ผลควรดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องถึงโคนต้น เพื่อป้องกันโรคพืชที่เกิดจาดเชื้อรา โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่า รวมทั้งระวังการระบาดศัตรูพืชจำพวกหนอนที่จะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำให้ต้นพืชเสียหาย
- ชาวประมง ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. ชาวเรือและชาวประมงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามัน ควรงดออกจากฝั่ง
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 70-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 20-23 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส
- พื้นที่การเกษตร สัปดาห์นี้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนบนและบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตก สำหรับพื้นที่การเกษตรซึ่งเป็นที่ลุ่ม เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยปรับปรุงระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแปลงปลูก
- ไม้ผล ในระยะนี้มีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้สภาพอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนไม้ผลควรดูแลสวนให้โปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงแดดส่องถึงโคนต้น เพื่อป้องกันโรคพืชที่เกิดจาดเชื้อรา โดยเฉพาะโรครากเน่าโคนเน่า รวมทั้งระวังการระบาดศัตรูพืชจำพวกหนอนที่จะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำให้ต้นพืชเสียหาย
- ชาวประมง ในช่วงวันที่ 17-19 ก.ค. ชาวเรือและชาวประมงบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และเรือเล็กบริเวณทะเลอันดามัน ควรงดออกจากฝั่ง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74