พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ระหว่างวันที่ 7 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ออกประกาศวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 17/61
การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ รวมถึงมีฝนเล็กน้อยบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกและกรุงเทพมหานครและปริมณฑลสำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลง โดยจะเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อนส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร
คำเตือน ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. ขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วยส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. ขอให้เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ
คำแนะนำสำหรับการเกษตร
พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. ทางตอนบนของภาค อากาศหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 13-15 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว10-25 กม./ชม. ทางตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิจะสูงขึ้น3-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 29-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว10-25 กม./ชม. บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดอุณหภูมิต่ำสุด 2-10 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 12-20องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 25-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 1-7 องศาเซลเซียส และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ลมตะวันออกความเร็ว 10-25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %
ผลกระทบต่อพืช/สัตว์
- ระยะนี้จะมีอากาศหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองอย่างเพียงพอ และรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรให้ความอบอุ่นแก่สัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ และควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์หนาวเย็น อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
- สำหรับสภาพอากาศเย็นและชื้นเนื่องจากหมอกและน้ำค้างในตอนเช้า เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง ในพืชไร่และพืชผัก ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ นอกจากนี้เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการตากผลผลิตทางการเกษตรไว้กลางแจ้งข้ามคืน เพราะจะทำให้เปียกชื้นเสียหายได้ รวมทั้งระวังการเกิดอุบัติเหตุเมื่อสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ อุณหภูมิจะสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 15-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำ สุด 8 -14 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 12-18 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 %
ผลกระทบต่อพืช/สัตว์
- ระยะนี้ยังคงมีอากาศหนาวเย็นอย่างต่อเนื่องเกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองและสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหารที่ให้น้อยลงเพื่อป้องกันอาหารเหลือ ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสียส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย รวมทั้งเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อเพิ่มออกซิเจนและปรับอุณหภูมิน้ำ
- สำหรับสภาพอากาศแห้งและมีลมแรงทำให้น้ำระเหยได้มาก เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืช หรือบริเวณโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดินและอุณหภูมิดิน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเผาตอซังข้าว และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพราะอาจลุกลามทำให้เกิดอัคคีภัยได้ และควันไฟจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และทำให้ทัศนวิสัยลดลง ซึ่งเป็นอุปสรรค์ต่อการใช้รถใช้ถนน
ภาคกลาง
พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส และมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด9-32 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม. /ชม.ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. อากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม. /ชม.ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75%
ผลกระทบต่อพืช/สัตว์
- สำหรับอากาศเย็นและชื้น กับมีหมอกในตอนเช้าเหมาะกับการเกิดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่นโรคราน้ำค้างในองุ่นโรคใบไหม้ในพืชตระกูลหอม เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบควรรีบควบคุม
- ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ทางตอนบนของภาคควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
ภาคตะวันออก
พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ในช่วงวันที่ 8-11 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส และมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในช่วงวันที่ 10-11 ก.พ. อุณหภูมิต่ำสุด 17-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 2-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด15-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-30 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %
ผลกระทบต่อพืช/สัตว์
- สำหรับอากาศเย็นและชื้น กับมีหมอกในตอนเช้าเหมาะกับการเกิดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา โดยเฉพาะโรคราดำในมะม่วงและมะยงชิด เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงปลูกหากพบควรรีบควบคุมโดยพ่นน้ำล้างคราบราสีดำ เพื่อลดปริมาณเชื้อ นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำ ให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ
- ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหารที่ให้น้อยลงเพื่อป้องกันอาหารเหลือ ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสียส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย รวมทั้งเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อเพิ่มออกซิเจนและปรับอุณหภูมิน้ำ
ภาคใต้
พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า
ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 8 - 11 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชมทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎรธานีขึ้นมา: ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป: ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่น สูงประมาณ 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรอุณหภูมิต่ำสุด 19-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 %
ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 8 - 11 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1- 2 เมตรบริเวณฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตรอุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 %
ผลกระทบต่อพืช/สัตว์
- ระยะนี้แม้จะมีฝนตก แต่มีปริมาณน้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมตามความเหมาะสม รวมทั้งคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน นอกจากนี้ควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยชนิดต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ
- สำหรับฝนที่เพิ่มขึ้นในช่วงวันที่ 12 – 13 ก.พ. เกษตรควรกักเก็บน้ำเพื่อใช้ทางด้านการเกษตร รวมทั้งวางแผนการใช้น้ำที่กักเก็บไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำไว้ใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนแล้ง
- ในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีกำลังแรงโดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง
ปริมาณฝนสะสมเดือนกุมภาพันธ์ (ในวันที่ 1-6 กุมภาพันธ์ 2561) บริเวณประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 10 มม.เว้นแต่บริเวณจังหวัดระยอง และภาคใต้ตอนบนของทั้งสองฝั่งที่มีปริมาณฝนสะสมมากกว่า 10 มม. โดยบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดระนอง มีปริมาณฝนสะสม 50 – 100 มม.
ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 25 มม. เว้นแต่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯและปริมณฑล มีปริมาณฝนสะสม 25-100 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่บริเวณจังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ และจังหวัดระนอง มีปริมาณฝนสะสม 50-100 มม.
ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 15-30 มม. เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่ภาคใต้ตอนล่างมีค่าศักย์ การคายระเหยน้ำสะสม 30-35 มม.
สมดุลน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยมีค่าสมดุลน้ำสะสม (-1)-(-30) มม. เป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่ภาคตะวันออกและภาคใต้ตอนบนมีค่าสมดุลน้ำสะสม 1-70 มม. ส่วนภาคใต้ตอนล่างมีค่าสมดุลน้ำสะสม (-30)-(-40) มม.
คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น และภาคใต้ มีฝนตกหนักบางพื้นที่ สำหรับในช่วง 7 วันข้างหน้า ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลง สำหรับภาคใต้ยังมีฝนตก เกษตรกรควรระวังการระบาดของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในพืชสวนและพืชผัก ซึ่งจะทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74