พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 16 - 22 มกราคม พ.ศ. 2562

ข่าวทั่วไป Wednesday January 16, 2019 15:29 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 16 - 22 มกราคม พ.ศ. 2562

ออกประกาศวันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 7/62

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 16-18 ม.ค. 62 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา ส่วนภาคใต้จะมีฝนลดลง

ลักษณะสำคัญทาง ในช่วงวันที่ 16-18 ม.ค. 62 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพัดปกคลุมภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนในช่วงวันที่ 18-22 ม.ค. 62 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางจากประเทศจีนยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิลดลง กับมีอากาศเย็นโดยทั่วไป สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังปานกลาง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกได้ต่อเนื่อง

คำเตือน เกษตรกรควรดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไว้ด้วย

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 16-18 ม.ค. 62 อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาว กับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 6-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันตก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 14-20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • จากสภาวะอากาศที่จมตัวในระยะนี้ เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบไม้ และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพราะควันไฟจะบดบังทัศนวิสัย และเป็นการเพิ่มมลพิษในอากาศ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นขณะอยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ
  • ช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือน อย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย
  • สภาพอากาศเย็นและชื้น เป็นสภาวะแวดล้อมที่เชื้อราสามารถเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะบริเวณที่มีการปลูกพืชใกล้ชิดติดกันมากหรือปลูกพืชในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทน้อย เกษตรกรควรหมั่นสำรวจแปลงปลูก เมื่อพบควรรีบกำจัดก่อนระบาดไปยังแปลงปลูกอื่นๆ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในวันที่ 16-17 ม.ค. 62 อากาศเย็น กับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนบางแห่งทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 18-22 ม.ค. 62 อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศา อุณหภูมิต่ำสุด 16-21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-30 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10-14 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-30 กม./ชม.

ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระยะนี้ เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ
  • เกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ควรระวัง และป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน เช่น หนอนกระทู้หอม และหนอนเจาะลำต้น เป็นต้น
  • สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลปริมาณน้ำให้สมดุลกับจำนวนสัตว์ที่เลี้ยง หากไม่สมดุลสัตว์น้ำจะอยู่อย่างแออัดทำให้อ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในวันที่ 16-18 ม.ค. 62 มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • จากสภาวะอากาศที่จมตัวในระยะนี้ เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟาง ข้าว ใบไม้ และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพราะควันไฟจะบดบัง ทัศนวิสัย และเป็นการเพิ่มมลพิษในอากาศ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หากมีความจำเป็นควรสวมใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นขณะอยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วย โดยเฉพาะโรคทางเดินหายใจ
  • เกษตรกรที่อยู่นอกเขตชลประทาน ควรวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัด โดยให้น้ำแก่พืชครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง นอกจากนี้ควรใช้เศษวัชพืชคลุมโคนต้นทั่วบริเวณใต้ทรงพุ่ม เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำและรักษาความชื้นของดิน

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในวันที่ 16-18 ม.ค. 62 มีหมอกในตอนเช้า และมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียสลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 อากาศเย็นในตอนเช้ากับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร

ความชื้นสัมพัทธ์ 60-75 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ช่วงนี้ปริมาณฝนมีน้อยไม่เพียงพอกับไม้ผลที่อยู่ในระยะติดผลอ่อน เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมอย่างเหมาะสมหากให้น้ำไม่เพียงพอ จะทำให้การติดผลจะลดลง รวมทั้งควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูดเช่น เพลี้ยไฟและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง
  • สำหรับเกษตรกรที่มีแหล่งน้ำเป็นของตนเอง ควรวางแผนการใช้น้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 16-18 ม.ค. 62 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียสอุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 %

ฝั่งตะวันตก ในวันที่ 16 ม.ค. 62 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 17-22 ม.ค. 62 มีฝนฟ้าะนองร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 1 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส

ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • เนื่องจากปริมาณฝนมีน้อยไม่พอเพียงกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้พืชชะงักการเจริญเติบโต โดยคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืช และโคนต้นพืช ด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดการระเหยของน้ำและเป็นการรักษาความชื้นภายในดิน
  • เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยไฟและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงพืช ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต
รายงานสถานการณ์สมดุลน้ำใน 7 วันที่ผ่านมา และการคาดการณ์ผลกระทบต่อการเกษตร ในช่วงวันที่ 16-22 มกราคม 2562

ปริมาณฝนสะสมเดือนมกราคม (ในช่วงวันที่ 1-15 ม.ค.) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่ภาคเหนือตอนบนมีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสม 50-300 มม. โดยภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างมีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 200-300 มม.

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา บริเวณประเทศไทยตอนบนมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 10 มม. เว้นแต่ภาคเหนือตอนบน มีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 10-25 มม. สำหรับภาคใต้มีปริมาณฝนสะสม 5-50 มม. เว้นแต่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกตอนกลางมีปริมาณฝนสะสมสูงสุด 50-100 มม.

ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม บริเวณประเทศไทยมีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 15-30 มม. โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านตะวันออก ภาคตะวันออกตอนบน และภาคใต้ตอนล่าง มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสมมากกว่าบริเวณอื่นๆ

สมดุลน้ำ บริเวณประเทศไทยมีค่าสมดุลน้ำ (-10)-(-30) มม. เว้นแต่ภาคเหนือตอนบนและภาคใต้ฝั่งตะวันตกตอนกลางมีค่าสมดุลน้ำ 10-40 มม.

คำแนะนำ ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา บริเวณภาคเหนือมีฝนตกหนักบางพื้นที่ ส่วนภาคใต้มีฝนตกหนักหลายพื้นที่ สำหรับในช่วงวันที่ 16-18 ม.ค. 62 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง แต่ยังคงมีอากาศเย็นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ส่วนในช่วงวันที่ 19-22 ม.ค. 62 บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีอากาศเย็น อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส สำหรับภาคใต้จะมีฝนลดลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย รวมทั้งควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช ทำให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนฟ้าคะนองตลอดช่วง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืช จำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยไฟและไรชนิดต่างๆ ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยงพืช ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ