พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตรระหว่าง 11-17 มีนาคม พ.ศ. 2562

ข่าวทั่วไป Monday March 11, 2019 15:35 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 11-17 มีนาคม พ.ศ. 2562

ออกประกาศวันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 30/62

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 11 – 13 มี.ค. 62 ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มีนาคม 2562 บริเวณภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและมีลูกเห็บตกบางแห่ง

ลักษณะสำคัญทางอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 11 – 13 มี.ค. 62 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้นกับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคใต้มีลมตะวันออกพัดปกคลุม ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองได้บางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มีนาคม 2562 บริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนยังคงมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกเกิดขึ้นบางพื้นที่ โดยจะเริ่มจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป

คำเตือน ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากมีอากาศร้อนขึ้น โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในตอนกลางวัน ส่วนในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. 62 ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกที่จะเกิดขึ้น และควรอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างรวมทั้งป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรระมัดระวัง และป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 11 – 14 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวันส่วนในช่วงวันที่ 15 - 17 มี.ค. 62 อากาศร้อนในตอนกลางวันโดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 17-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกความเร็ว 10-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 15-17 มี.ค. จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่ง เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับอาคารบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตร ผลผลิตที่แก่ดีแล้วควรรีบเก็บเกี่ยว
  • ในช่วงวันที่ 11-14 มี.ค. จะมีอากาศร้อนในตอนกลางวันโดยมีอุณหภูมิสูงสุด 36-40 องศาเซลเซียสเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ควรลดอุณหภูมิภายในโรงเรือนและจัดหาน้ำดื่มให้กับสัตว์เลี้ยงอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันสัตว์ อ่อนแอ และเจ็บป่วยได้

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 11 – 13 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวันโดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มี.ค. 62อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ20-30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่งอุณหภูมิต่ำสุด 19-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55-65 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 14 -17 มี.ค. จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่ง เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับอาคารบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตร ผลผลิตที่แก่ดีแล้วควรรีบเก็บเกี่ยว
  • สำหรับฝนที่ตกในระยะนี้มีปริมาณน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกรควรจัดหาน้ำให้แก่พืชตามความเหมาะสม นอกจากนี้ควรระวังป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่นเพลี้ย และไร ชนิดต่างๆในพืชไร่ และพืชผัก ซึ่งจะดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตด้อยคุณภาพ

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 11 - 14 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวันส่วนในช่วงวันที่ 15 - 17 มี.ค. 62 อากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-39 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55-65 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 15-17 มี.ค. จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่ง เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับอาคารบ้านเรือนและพืชผลทางการเกษตร ผลผลิตที่แก่ดีแล้วควรรีบเก็บเกี่ยว
  • ระยะนี้จะมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน ทำให้น้ำระเหยออกจากแหล่งน้ำมาก เกษตรกรควรดูแลปริมาณสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำเพื่อไม่ให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด จนทำให้อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย และเนื่องจากอุณหภูมิที่สูง เกษตรกรควรระวังการเน่าเสียของอาหารสัตว์ ซึ่งจะส่งผลให้น้ำเน่าเสีย และปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ในช่วงวันที่ 11 – 13 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวันโดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ20-30 ของพื้นที่กับมีลมกระโชกแรง อุณหภูมิต่ำสุด 23-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงวันที่ 14-17 มี.ค. จะมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง เกษตรกรควรระวังความเสียหายกับพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผล ผลอาจร่วงหล่นเนื่องจากลมกระโชกแรง
  • ระยะนี้แม้จะมีฝนตกแต่ปริมาณน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของไม้ผลที่อยู่ในระยะเจริญเติบโตทางผลเกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ เพื่อป้องกันผลแคระแกร็นและร่วงหล่น รวมทั้งกำจัดวัชพืชบริเวณโคนต้นเพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากต้นพืช

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 11 – 13 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 ของพื้นที่ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มี.ค. 62 มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1-2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 17 มี.ค. 62 ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร

ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75 %

ฝั่งตะวันตก มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน กับมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 22-26องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตรความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 %

ผลกระทบต่อพืช/สัตว์

  • ในช่วงที่มีฝนตกน้อยและไม่พอเพียงกับความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชตามความเหมาะสมและควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อลดการระเหยของน้ำและเป็นการรักษาความชื้นภายในดิน
  • เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งในตอนกลางวันเกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไร ต่างๆ ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืช ทำให้ต้นทรุดโทรม

ปริมาณฝนสะสมเดือนมีนาคม (ช่วงวันที่ 1-10 มี.ค.) ประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. เว้นแต่บริเวณจังหวัดตราด ที่มีฝนสะสม 50 – 100 มม. และฝนส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนล่าง

ปริมาณฝนสะสม 7 วันที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปริมาณฝนสะสมต่ำกว่า 50 มม. และฝนส่วนใหญ่อยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตอนล่าง

ศักย์การคายระเหยน้ำสะสม ประเทศไทยส่วนใหญ่มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 25-35 มม. เว้นแต่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางด้านตะวันตก และภาคใต้ตอนล่าง ที่มีค่าศักย์การคายระเหยน้ำสะสม 35-40 มม.

สมดุลน้ำ ประเทศไทยมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบเป็นส่วนใหญ่ คือ (-20) - (-40) มม.

คำแนะนำ ช่วงที่ผ่านมาบริเวณประเทศไทยมีค่าสมดุลน้ำเป็นลบเป็นส่วนใหญ่ สำหรับในช่วง 7 วันข้างหน้า บริเวณประเทศไทย จะมีฝนน้อย เกษตรกรควรให้น้ำแก่พืชอย่างเพียงพอและควรใช้น้ำอย่างประหยัด รวมทั้งวางแผนการใช้น้ำที่เก็บกักไว้ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง สำหรับสภาพอากาศที่ร้อนและมีแดดจัดในตอนกลางวันเกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งเป็นเวลานาน หากต้องทำงานกลางแจ้งหรือบริเวณที่มีอากาศร้อนเป็นเวลานานควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดเพื่อป้องกันผิวไหม้ และควรดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันร่างกายขาดน้ำ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตุนิยมวิทยา 0-2399-4568-74


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ