พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 12 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ข่าวทั่วไป Monday July 12, 2021 15:15 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 12 - 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ออกประกาศวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 83/64

การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ค. 64 ร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย มีกำลังปานกลาง ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในวันที่ 14 - 18 ก.ค. 64 ร่องมรสุมยังคงพาดผ่านบริเวณภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในวันที่ 12 ก.ค. 64 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร สำหรับทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 18 ก.ค. 64 คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง

คำเตือน ในช่วงวันที่ 12 - 15 ก.ค. บริเวณประเทศไทยจะมีฝนสะสมต่อเนื่องกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ในบางพื้นที่ ส่วนในวันที่ 12 ก.ค.บริเวณทะเลอันดามันตอนบนจะมีคลื่นลมแรง ชาวเรือควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 13 - 14 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 - 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 15 - 18 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 % ความยาวนานแสงแดด 3-4 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับฝนที่ตกติดต่อกันในช่วงนี้ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคเน่าเละในผักที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะพืชตระกูลกะหล่ำ ซึ่งจะทำให้เกิดจุดฉ่ำน้ำเล็กๆบนใบหรือลำต้น ลุกลามทำให้เนื้อเยื่อพืชบริเวณนั้นยุบตัวลง มีเมือกเยิ้มออกมาและมีกลิ่นเหม็น จนต้นพืชเน่าและตาย โรคดังกล่าวสามารถเข้าทำลายได้ทุกส่วนของพืช ทั้งที่อยู่ในแปลงปลูกและในโรงเก็บ ส่วนฝนที่ตกไม่สม่ำเสมอในบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังศัตรูพืชจำพวกหนอน ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช เช่น ใบอ่อนและยอดอ่อน เป็นต้น ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 - 60 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 % ความยาวนานแสงแดด 3-6 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับฝนที่ตกติดต่อกันในช่วงนี้ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคแอนแทรคโนส หรือโรคกุ้งแห้งในพริก ซึ่งมักพบเป็นจุดช้ำบนผลพริกที่เริ่มสุก ลุกลามจนทำให้ผลเน่า โค้งงอ บิดเบี้ยวลักษณะคล้ายกุ้งแห้ง และร่วงก่อนเก็บเกี่ยว ส่วนฝนที่ตกไม่สม่ำเสมอในบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังศัตรูพืชจำพวกหนอน ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช เช่น ใบอ่อนและยอดอ่อน เป็นต้น ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ กับมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 % ความยาวนานแสงแดด 4-5 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับสภาพอากาศที่ร้อนชื้นประกอบกับมีฝนตกติดต่อกันในช่วงนี้ เกษตรกรที่ปลูกกล้วยไม้ควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคเน่าเละ ซึ่งมักพบเป็นจุดช้ำๆที่หน่ออ่อน ลุกลามจนใบและลำต้นเน่าฟุบ เปื่อยยุ่ยและ ตายทั้งต้น ส่วนฝนที่ตกไม่สม่ำเสมอในบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก โดยเฉพาะหนอนเจาะดอกในมะลิ ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะกัดกินดอกตูมของมะลิ ทำให้ดอกเสียหาย สำหรับต้นที่ยังไม่ออกดอก หนอนดังกล่าวจะกัดกินใบอ่อนและยอดอ่อน ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 14 -15 ก.ค. มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-35 องศาเซลเซียส ในวันที่ 12 ก.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 18 ก.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95 % ความยาวนานแสงแดด 3-4 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและเฝ้าระวังความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง เกษตรกรที่ปลูกทุเรียนควรระวังและป้องกันโรครากเน่าโคนเน่า ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำ หลังจากฝนตกควรเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อป้องกันน้ำแยกชั้น รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อโดยตรง เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยนสัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 12 -15 ก.ค. มีฝนตกหนักบางแห่งอุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-35 องศาเซลเซียส ในวันที่ 12 ก.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 18 ก.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 % ความยาวนานแสงแดด 3-6 ชม.

ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 12 - 15 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 16 - 18 ก.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-33 องศาเซลเซียส

ในวันที่ 12 ก.ค. ตั้งแต่จังหวัดพังงาขึ้นมา :ลมตะวันตกเฉียงใต้ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณ ที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตลงไป :ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 13 - 18 ก.ค. ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95 %

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคหน้ากรีดยาง และโรคราสีชมพู เป็นต้น ส่วนเกษตรกรที่ปลูกมะพร้าวทั้งในระยะยังไม่ให้ผลผลิตหรือให้ผลผลิตแล้ว ควรระวังและป้องกันศัตรูพืชจำพวกด้วง เช่น ด้วงงวงและด้วงแรด เจาะทำลายยอดอ่อน วางไข่ให้ตัวอ่อนเจาะกินชอนไช ทำให้ลำต้นเน่าใน ต้นเฉาแคระแกรน ยอดหักพับและตายในที่สุด
ลักษณะอากาศในช่วง 7 วันที่ผ่านมา

ระหว่างวันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2564 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบนในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ ซึ่งต่อมาหย่อมความกดอากาศนี้ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ยและปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในวันที่ 8 ก.ค. จากนั้นร่องมรสุมได้เลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกในระยะครึ่งหลังของสัปดาห์ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังแรงในระยะปลายสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้เกือบทุกภาคของประเทศไทยมีฝนตกหนาแน่นเกือบตลอดสัปดาห์

ภาคเหนือ มีฝนมากกว่าร้อยละ 85 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ โดยมีฝนหนักบางแห่งตลอดสัปดาห์ และมีฝนหนักมาก บางพื้นที่ในวันที่ 6, 8 และ 10 ก.ค. โดยมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันบริเวณจังหวัดน่านในวันที่ 6 ก.ค. และจังหวัดแม่ฮ่องสอนในวันที่ 7 ก.ค. กับมีรายงานดินถล่มบริเวณจังหวัดลำปางในวันที่ 9 ก.ค. และมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดอุตรดิตถ์ในวันที่ 10 ก.ค. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนร้อยละ 60-95 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักถึงหนักมากบางแห่ง และมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดบึงกาฬและยโสธรในวันที่ 5 ก.ค. และจังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 7 ก.ค. ภาคกลาง มีฝนมากกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักบางแห่ง และมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 10 ก.ค. โดยมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดราชบุรีและสระบุรีในวันที่ 5 ก.ค. และมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ในวันที่ 10 ก.ค. ภาคตะวันออก มีฝนมากกว่าร้อยละ 70 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ โดยมีฝนหนักบางแห่งตลอดสัปดาห์ และมีฝนหนักมากบางพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ และมีรายงานน้ำท่วมบริเวณจังหวัดนครนายกและจันทบุรีในวันที่ 8 ก.ค. กับมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดตราดในวันที่ 8 ก.ค.

ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนมากกว่าร้อยละ 65 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 5, 7 และ 10 ก.ค. มีฝนร้อยละ 30-55 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งเกือบตลอดสัปดาห์ และมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดเพชรบุรีในวันที่ 6 ก.ค. และจังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 7 ก.ค. ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนมากกว่าร้อยละ 65 ของพื้นที่ตลอดสัปดาห์ โดยมีฝนหนักบางแห่งตลอดสัปดาห์และมีฝนหนักมากบางพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ โดยมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดระนองในวันที่ 8 ก.ค. และจังหวัดพังงาในวันที่ 10 ก.ค. และมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันบริเวณจังหวัดกระบี่ในวันที่ 9 ก.ค. และจังหวัดตรังในวันที่ 10 ก.ค. กับมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มบริเวณจังหวัดระนองในวันที่ 10 ก.ค.

สัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานฝนตกหนักมากบริเวณจังหวัดเชียงราย น่าน ตาก สุโขทัย หนองบัวลำภู สกลนคร มุกดาหาร มหาสารคาม ชัยภูมิ นครราชสีมา ยโสธร พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี นครนายก สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระนอง พังงา ตรัง และสตูล ส่วนบริเวณจังหวัดที่มีฝนตกหนัก ได้แก่ พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก กำแพงเพชร พิจิตร เพชรบูรณ์ เลย หนองคาย อุดรธานี นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ขอนแก่น บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง ปทุมธานี กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี นครปฐม สมุทรปราการ ปราจีนบุรี ระยอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต และกระบี่

ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ