พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 8 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ข่าวทั่วไป Friday October 8, 2021 14:43 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า

ระหว่างวันที่ 8 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ออกประกาศวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 122/64

การคาดหมายลักษณะอากาศ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ตลอดช่วง ในขณะที่ในช่วงวันที่ 8-9 ต.ค. 64 ร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น โดยเฉพาะภาคใต้จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 10-14 ต.ค. 64 ร่องมรสุมจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังแรง ตลอดช่วง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อนึ่ง ในช่วงวันที่ 8 - 9 ต.ค. 64 พายุโซนร้อน "ไลออนร็อก" มีแนวโน้มเคลื่อนตัวผ่านเกาะไหหลำลงสู่อ่าวตังเกี๋ย คาดว่า ในช่วงวันที่ 10 - 11 ต.ค. 64 จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน

คำเตือน ระยะนี้บริเวณประเทศไทยจะมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยควรระวังฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก สำหรับบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ส่วนในบริเวณซึ่งยังคงมีน้ำท่วม หากระดับน้ำลดลงแล้วเกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูกและฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม

คำแนะนำสำหรับการเกษตร

ภาคเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 8 - 9 และ 13 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 12 และ 14 ต.ค. มีฝน ฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-36 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 5-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 % ความยาวนานแสงแดด 5-7 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับทางตอนบนของภาคปริมาณและการกระจายของฝนจะลดลง เกษตรกรควรกักเก็บน้ำไว้ใช้ทางด้านการเกษตร ส่วนทางตอนล่างของภาคที่ยังคงมีน้ำท่วม หากระดับน้ำลดลงแล้วเกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูกและฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม สำหรับพื้นที่ที่มีฝนตกไม่สม่ำเสมอ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอนในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก โดยเฉพาะหนอนผีเสื้อชอนใบมะเขือเทศ ซึ่งจะพบได้ในในพืชวงศ์มะเขือ เช่น มะเขือเทศ มะเขือ เป็นต้น รวมทั้งมันฝรั่ง พริก ยาสูบ และพืชวงศ์ถั่ว ตลอดจนกะหล่ำ โดยหนอนดังกล่าวจะกัดกิน ชอนไชใบ ลำต้นและผล ทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 8 - 9 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 14 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-32 องศาเซลเซียส ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 % ความยาวนานแสงแดด 5-7 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่สกปรก หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูททุกครั้งเพื่อป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส หรือ โรคฉี่หนู ส่วนพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูกและฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม สำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ควรยกพื้นคอกสัตว์ให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันน้ำท่วมพื้นคอก รวมทั้งอพยพสัตว์เลี้ยงไปไว้ในพื้นที่สูงน้ำท่วมไม่ถึงและจัดเตรียมระบบส่องสว่างยามค่ำคืนเอาไว้ให้พร้อมใช้งาน สำหรับระยะนี้ยังคงมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของโรคเน่าเปียกหรือโรคราขนแมวในพริก ซึ่งเกิดจากเชื้อราบริเวณยอดอ่อนและกิ่งอ่อน ทำให้กิ่งแห้งหักพับ หากรุนแรงใบและดอกจะร่วงจนเหลือแต่ก้าน และพริกจะไม่แตกยอดใหม่ ถ้าอากาศมีความชื้นสูงมากๆ จะเห็นส่วนของเชื้อราที่มีลักษณะเป็นก้านใสคล้ายขนแมว

ภาคกลาง

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 8 - 9 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 20-30 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 14 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 75-85 % ความยาวนานแสงแดด 4-7 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่สกปรก หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูททุกครั้งเพื่อป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส หรือ โรคฉี่หนู ส่วนพื้นที่ที่ระดับน้ำลดลงแล้ว เกษตรกรควรรีบระบายน้ำออกจากแปลงปลูกและฟื้นฟูสภาพสวนและแหล่งน้ำให้ใช้ได้ดีดังเดิม สำหรับระยะนี้ยังคงมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราในไม้ผลและพืชผัก โดยเฉพาะโรครากเน่า-โคนเน่าในมะละกอ ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้ลำต้นบริเวณผิวดินมีรอยเน่าเป็นสีดำ ลักษณะฉ่ำน้ำ ยุบเป็นแถบๆ รอยเน่าอาจขยายตัวขึ้นด้านบนทำให้ใบที่เกิดมาใหม่มีก้านใบสั้นและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเร็วกว่าปกติ หรือหากเชื้อราขยายลงส่วนล่างจะทำให้รากแก้วเน่าเปื่อย หากมีอาการรุนแรง โคนต้นจะหักพับและตายในที่สุด

ภาคตะวันออก

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ในช่วงวันที่ 8 - 9 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 10 - 14 ต.ค. มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95 % ความยาวนานแสงแดด 3-5 ชม.

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่สกปรก หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำควรสวมรองเท้าบูททุกครั้งเพื่อป้องกันโรคเลปโตสไปโรซิส หรือ โรคฉี่หนู สำหรับระยะนี้ยังคงมีความชื้นสูง เกษตรกรควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราใน ไม้ผลและพืชผัก โดยเฉพาะโรคใบติดในทุเรียน ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้ใบแห้งไหม้ ถ้ามีความชื้นสูงเชื้อราจะสร้างเส้นใยยึดใบให้ติดกัน โดยใบที่เป็นโรคจะแห้งติดอยู่กับกิ่ง ก่อนหลุดร่วงไปจนเหลือแต่กิ่ง เกษตรกรควรหมั่นตรวจต้นพืชอย่างสม่ำเสมอ หากพบควรตัดส่วนที่เป็นโรคและใบที่ร่วงหล่นนำไปทำลายนอกแปลงปลูกและพ่นสารป้องกันโรคดังกล่าว

ภาคใต้

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์

ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-70 ของพื้นที่ ตลอดช่วง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 80-90 % ความยาวนานแสงแดด 4-6 ชม.

ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ ตลอดช่วง โดยในช่วงวันที่ 8-11 ต.ค. มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 19-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 85-95 %

  • ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนอง กับมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ซึ่งอาจทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับในช่วงที่มีฝนตกต่อเนื่องทำให้ดินและอากาศมีความชื้นสูง ชาวสวนยางพาราควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เช่น โรคใบยางร่วงลูกยางเน่า โรคหน้ากรีดยาง และโรคราสีชมพู เป็นต้น ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำ หลังจากฝนตกควรเปิดเครื่องตีน้ำเพื่อป้องกันน้ำแยกชั้น รวมทั้งไม่ควรปล่อยให้น้ำฝนที่ตกบนดินไหลลงบ่อโดยตรง เพราะจะทำให้สภาพน้ำเปลี่ยน สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอ และเป็นโรคได้ง่าย อนึ่ง ระยะนี้บริเวณทะเลอันดามันจะมีคลื่นลมแรง โดยจะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง
ลักษณะอากาศในช่วง 7 วันที่ผ่านมา

ระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 5 ตุลาคม 2564 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยตลอดช่วงมีกำลังค่อนข้างแรงในระยะครึ่งหลังของช่วง โดยมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนในวันที่ 3 ต.ค. ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน เข้าสู่พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางในระยะปลายช่วง อนึ่ง พายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางกำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกค่อนทางเหนือเล็กน้อยในระยะปลายช่วง ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนตลอดช่วงโดยเฉพาะบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออก และมีรายงานน้ำท่วมหลายพื้นที่ สำหรับภาคใต้มีฝนตลอดช่วง

ภาคเหนือ มีฝนร้อยละ 5-55 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งในวันที่ 1, 3 และ 6 ต.ค. และมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 1 ต.ค. โดยมีรายงานน้ำท่วมต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาบริเวณจังหวัดสุโขทัย พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก กับมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันบริเวณจังหวัดกำแพงเพชรในวันที่ 1 ต.ค. และมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนในวันที่ 1 ต.ค. และมีรายงานดินถล่มบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ในวันที่ 3 ต.ค. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนร้อยละ 15-50 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 6 ต.ค. มีฝนร้อยละ 75 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งในวันที่ 1, 2, 3 และ 6 ต.ค. และมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 2 ต.ค. โดยมีรายงานน้ำท่วมต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาบริเวณจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา และอุบลราชธานี ภาคกลาง มีฝนร้อยละ 70-90 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 1, 4 และ 7 ต.ค. มีฝนร้อยละ 15-30 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งเกือบตลอดช่วง กับมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 2, 3 และ 5 ต.ค. โดยมีรายงาน น้ำท่วมต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี กับมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันบริเวณจังหวัดราชบุรีในวันที่ 6 ต.ค. กับมีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดอ่างทองในวันที่ 6 ต.ค. และมีรายงานน้ำท่วมฉับพลันและลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดกาญจนบุรีในวันที่ 1 ต.ค. ภาคตะวันออก มีฝนมากกว่าร้อยละ 65 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 4 และ 7 ต.ค. มีฝนร้อยละ 50-55 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งเกือบตลอดช่วง กับมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 2 ต.ค. ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนร้อยละ 75-90 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 2, 3 และ 5 ต.ค. มีฝนร้อยละ 30-45 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางแห่งตลอดช่วง และมีฝนหนักมากบางพื้นที่ในวันที่ 3 - 4 ต.ค. ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนมากกว่าร้อยละ 85 ของพื้นที่ เว้นแต่ในวันที่ 2 และ 3 ต.ค. มีฝนร้อยละ 10-25 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักถึงหนักมากบางแห่งในวันแรกและระยะครึ่งหลังของช่วง

ช่วงที่ผ่านมามีฝนตกหนักมากบริเวณจังหวัดสุโขทัย อุบลราชธานี ลพบุรี กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรปราการ สระแก้ว ตราด พัทลุง สงขลา ระนอง พังงา ตรัง และสตูล ส่วนบริเวณที่มีฝนตกหนัก ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก พิษณุโลก กำแพงเพชร เลย หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ ยโสธร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ปัตตานี นราธิวาส และภูเก็ต

ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ