พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 12 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ข่าวทั่วไป Monday February 12, 2024 13:14 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 12 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ออกประกาศวันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ 19/2567 การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้บริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3 - 5 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้าและมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง และภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงบางแห่งเกิดขึ้นได้ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้มีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร

คำเตือน ระยะนี้บริเวณประเทศไทยอากาศเปลี่ยนแปลง โดยในช่วงวันที่ 12-13 ก.พ. เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากอากาศที่หนาวเย็น หลังจากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้นกับมีหมอกในตอนเช้า และมีฝนฟ้าคะนองกับลมกระโชกแรงบางแห่ง เกษตรกรควรเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกและควรสำรวจวัสดุอุปกรณ์ที่ผูกยึดและค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผล ให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง อนึ่ง บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกจะมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายที่เกิดจากคลื่นลมแรงซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งถึงวันที่ 13 ก.พ.

คำแนะนำสำหรับการเกษตร ภาค พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์ เหนือ ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกบางในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 15 - 21 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26 - 34 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5 - 15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 20 กม./ชม. ส่วนในวันที่ 14 - 18 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3 - 5 องศาเซลเซียส กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยในวันที่ 17 - 18 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17 - 24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29 - 37 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8 - 17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 5 - 15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้อากาศแปรปรวน เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย สำหรับบางพื้นที่ที่มีหมอกในตอนเช้า เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวังและควรระวังและป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราโดยเฉพาะโรคราน้ำค้างในพืชไร่และพืชผัก รวมทั้งโรคราดำในมะม่วง เป็นต้น ระยะนี้อากาศแห้งกับมีลมแรงทำให้น้ำระเหยได้มาก เกษตรกรควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชและโคนต้นพืชด้วยวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำบริเวณ ผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน และรักษาอุณหภูมิดิน ตะวันออก ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 12 - 19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด เฉียงเหนือ 26 - 32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูมีอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8 - 15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3 - 5 องศาเซลเซียส กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยในช่วงวันที่ 17 - 18 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 15 - 23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28 - 37 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 10 - 17 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนอย่าให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว สำหรับสภาพอากาศที่หนาวเย็นในระยะนี้ สัตว์ที่ยังเล็กเกษตรกรควรเพิ่มความอบอุ่นในโรงเรือน นอกจากนี้ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหาร เนื่องจากในช่วงที่อุณหภูมิลด สัตว์น้ำจะกินอาหารได้น้อยลงอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย สำหรับฝนที่ตกน้อยและปริมาณน้ำที่ระเหยมาก เกษตรกรควรใช้น้ำที่เก็บกักไว้อย่างประหยัดรวมทั้งควรวางแผนการใช้น้ำให้เหมาะสม เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงแล้ง กลาง ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีลมแรง อุณหภูมิต่ำสุด 18 - 22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31 - 35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 25 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 3 - 5 องศาเซลเซียส กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยในช่วงวันที่ 16 - 18 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 21 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 - 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 20 กม./ชม.. ความชื้นสัมพัทธ์ 60 - 70 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ในช่วงวันที่ 16 - 18 ก.พ. จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาค เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่แก่ดีแล้ว เกษตรกรควรรีบเก็บเกี่ยวและไม่ควรปล่อยไว้กลางแจ้งเพราะอาจทำให้ผลผลิตเปียกชื้นเสียหายได้ ส่วนสภาพอากาศแห้งโดยเฉพาะทางตอนบนของภาค เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยและไรต่างๆ ซึ่งศัตรูพืชดังกล่าวจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นพืชทำให้ต้นพืชทรุดโทรม ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ สำหรับระยะนี้และระยะต่อไปปริมาณและการกระจายของฝนจะมีน้อย พื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทานเกษตรกรควรเลือกปลูกพืชที่อายุการเก็บเกี่ยวสั้นและใช้น้ำน้อย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำของพืช ตะวันออก ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 18 - 24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 35 องศา

เซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. มีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิจะสูงขึ้น 3 - 5 องศาเซลเซียส กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 30 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32 - 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 65 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ส่วนระยะนี้ปริมาณน้ำระเหยมาก ผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำให้เหมาะกับชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยงและดูแลจำนวนสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่มีอยู่ หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด สำหรับฝนที่ตกไม่สม่ำเสมอ เกษตรกรควรระวังและป้องกันการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน เช่นหนอนกระทู้ ในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก เป็นต้น อนึ่งในช่วงวันที่ 14-18 ก.พ. จะมีฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ชาวสวนผลไม้ควรผูกยึดค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักและต้นโค่นล้มเมื่อมีลมแรง ใต้ ฝั่งตะวันออก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 30 ของพื้นที่ ตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 35 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นมา ลม

ตะวันออก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31 - 37 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 % ความยาวนานแสงแดด 6-9 ชม. ฝั่งตะวันตก มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ตลอดช่วง อุณหภูมิต่ำสุด 22 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31 - 37 องศาเซลเซียส ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ในช่วงวันที่ 14 - 18 ก.พ. ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 60-80 % - ระยะนี้จะมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เกษตรกรควรระวังและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว รวมทั้งควรระวังการระบาดของศัตรูพืชจำพวกหนอน ซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืชทำให้ต้นพืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ อนึ่ง ในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.พ. บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก จะมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร เกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายที่เกิดจากคลื่นลมแรงซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือและชาวประมงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งถึงวันที่ 13 ก.พ. NT ลักษณะอากาศในรอบ 7 วันที่ผ่านมา

ระหว่างวันที่ 5 - 11 กุมภาพันธ์ 2567 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังอ่อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน กับมีลมฝ่ายตะวันตกในระดับบนพัดปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ โดยบริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนในระยะปลายสัปดาห์ กับมีลมใต้และลม

ตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง และภาคตะวันออกเกือบตลอดสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศเย็นเกือบทั่วไปในพื้นที่บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับมีฝนในบางพื้นที่ ส่วนภาคใต้ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันในระยะต้นสัปดาห์ โดยมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยตอนล่างและภาคใต้ในระยะปลายสัปดาห์ ทำให้ภาคใต้โดยเฉพาะฝั่งตะวันออกมีฝนหนักบางแห่งในช่วงดังกล่าว

ภาคเหนือ มีอากาศเย็นทั่วไป กับมีอากาศหนาวหลายพื้นที่ส่วนมากทางตอนบนของภาคในระยะต้นและกลางสัปดาห์ จากนั้นมีอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ยังคงมีอากาศเย็นเกือบทั่วไปกับมีอากาศหนาวบางพื้นที่ สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีรายงานน้ำค้างแข็งบริเวณจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงวันที่ 5-6 ก.พ. โดยมีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางบางพื้นที่ ในวันที่ 10 ก.พ. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นเกือบทั่วไป กับมีอากาศหนาวบางพื้นที่ส่วนมากทางตอนบนของภาคในระยะต้นและกลางสัปดาห์ จากนั้นมีอุณหภูมิลดลงจนมีอากาศเย็นทั่วไป กับมีอากาศหนาวบางพื้นที่ สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดภูมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยมีฝนเล็กน้อยบางพื้นที่ในวันที่ 5 วันที่ 6 และวันที่ 9 ก.พ. กับมีฝนหนักบางแห่งในวันที่ 5 ก.พ. ภาคกลาง มีอากาศเย็นเกือบทั่วไปเกือบตลอดสัปดาห์ โดยมีฝนร้อยละ 15 ของพื้นที่ในวันที่ 10 ก.พ. ภาคตะวันออก มีอากาศเย็นหลายพื้นที่ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ โดยมีฝนร้อยละ 15-40 ของพื้นที่ในวันที่ 6 วันที่ 9 และวันที่ 10 ก.พ. กับมีฝนหนักบางพื้นที่ในวันที่ 6 และวันที่ 9 ก.พ. ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีอากาศเย็นหลายพื้นที่ โดยมีฝนเล็กน้อยบางพื้นที่ในระยะต้นและกลางสัปดาห์ ส่วนในระยะปลายสัปดาห์มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนหนักบางแห่ง ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีอากาศเย็นบางพื้นที่ในวันแรกและวันสุดท้ายของสัปดาห์ โดยมีฝนเล็กน้อยถึงปานกลางบางพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์

สัปดาห์ที่ผ่านมามีฝนตกหนักบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี จันทบุรี ตราด และชุมพร

ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ