พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 22 - 28 มกราคม พ.ศ. 2568 ออกประกาศวันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 10/2568
การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 23 - 25 ม.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีหมอกหนาในบางพื้นที่ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะสูงขึ้น 2 - 4 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้คลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังอ่อนลง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนในวันที่ 26 - 28 ม.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน และทะเลจีนใต้ ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอุณหภูมิลดลงกับมีลมแรงก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในวันถัดไป โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออุณหภูมิจะลดลง 3 - 5 องศาเซลเซียส ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน อุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
คำเตือน ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพ โดยในช่วงวันที่ 23 - 25 ม.ค. 68 บริเวณประเทศไทยตอนบน ควรเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอก ส่วนในช่วงวันที่ 26 - 28 ม.ค. 68 อุณหภูมิจะลดลงกับมีลมแรง เกษตรกรควรระวังและป้องกันอัคคีภัยไว้ด้วย สำหรับบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออก ขอให้ระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะฝนตกหนักและคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ส่วนชาวเรือและชาวประมงบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง โดยเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง
คำแนะนำสำหรับการเกษตร ภาค พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์ เหนือ ในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกในตอนเช้า โดยมีหมอกหนาบางพื้นที่ และอุณหภูมิ จะสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 13 - 19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29 - 35 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4 - 14 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 5 - 15 กม./ชม. ส่วนในวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 - 17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 24 - 29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอย อากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 2 - 10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 25 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้มีอากาศหนาวเย็นทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาและยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกพืชด้วยวัสดุสีเข้มเพื่อรักษาอุณหภูมิดิน และยังช่วยลดการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดิน สำหรับสภาพอากาศที่แห้งในระยะนี้ ควรระวังอัคคีภัยและไฟป่า โดยทำแนวกันไฟรอบพื้นที่การเกษตรและหลีกเลี่ยงการจุดไฟในแปลงปลูกพืช หากมีความจำเป็นต้องจุดไฟควรดับให้สนิททุกครั้งหลังเลิกใช้งาน ส่วนเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ที่ยังเล็ก ควรเพิ่มอุปกรณ์เพื่อให้ความอบอุ่นภายในโรงเรือน เช่น หลอดไฟกก ป้องกันสัตว์เลี้ยงหนาวเย็นจนอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย นอกจากนี้เกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำ ควรลดปริมาณอาหารเนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงจะทำให้สัตว์น้ำกินอาหารได้น้อยลงและอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสีย สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่จะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่ายตะวันออก ในช่วงวันที่ 23 - 25 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีหมอกหนาบางพื้นที่ และอุณหภูมิ จะเฉียงเหนือ สูงขึ้น 2 - 4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 12 - 19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29 - 35 องศาเซลเซียส บริเวณ ยอดภูอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8 - 15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 26 - 28 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 3 - 5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 8 - 17 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 24 - 29 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 3 - 10 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้มีอากาศหนาวเย็นทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาและยอดภูจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ เกษตรกรควรให้ความอบอุ่นแก่ตนเองอย่างเพียงพอ และระวังป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับพืชผลทางการเกษตร โดยคลุมดินด้วยวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ใบไม้ ฟางข้าว และหญ้าแห้ง เป็นต้น เพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำบริเวณผิวดิน รักษาความชื้นภายในดินและรักษาอุณหภูมิดิน ส่วนบางพื้นที่จะมีลมแรง เกษตรกรควรสำรวจแผงกำบังลมหนาวที่ทำให้กับสัตว์เลี้ยง หากชำรุดเสียหายควรซ่อมแซมให้ใช้การได้ดีเพื่อป้องกันลมโกรกโรงเรือนและเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน สำหรับบางพื้นที่ที่มีหมอก เกษตรกรผู้ปลูกมะม่วงควรระวังและป้องกันโรคราดำในมะม่วงที่เกิดจากมูลของเพลี้ยจั้กจั่น ทำให้ใบและผลมะม่วงมีราดำปกคลุม ทำให้ใบสังเคราะห์แสงได้น้อยลง และผลผลิตเสียหาย กลาง ในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 68 อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า โดยมีหมอกหนาบางพื้นที่ และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16 - 20 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 - 36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม. ส่วนในวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียสอุณหภูมิต่ำสุด 14 - 19 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28 - 30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 9 ชม. - ระยะนี้มีอากาศหนาวเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า เกษตรกรควรใช้รถใช้ถนนด้วยความระมัดระวัง สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์ควรเพิ่มความอบอุ่นภายในโรงเรือน เพื่อป้องกันสัตว์เลี้ยงหนาวเย็นจนปรับตัวไม่ทัน อ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย ส่วนผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรลดปริมาณอาหาร เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงจะทำให้สัตว์น้ำกินอาหารได้น้อยลง สัตว์น้ำที่อาศัยอยู่จะอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย สำหรับสภาวะในช่วงที่อากาศจมตัว เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพราะจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ที่เกิดจากการเผา ทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้ ส่วนพื้นที่การเกษตรที่อยู่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรควรใช้น้ำอย่างประหยัดและวางแผนการใช้น้ำให้เหมาะสมโดยให้น้ำพืชแบบมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ระบบน้ำหยด เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรต่อไปในช่วงแล้ง ตะวันออก ในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 68 อากาศเย็นกับมีหมอกบางในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1 - 3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16 - 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนในวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 อากาศเย็นถึงหนาว กับมีลมแรง และ อุณหภูมิจะลดลง 2 - 4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 14 - 23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26 - 30 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 8 ชม. - ระยะนี้มีอากาศหนาวเย็นกับมีลมแรง เกษตรกรควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย ส่วนในพื้นที่ซึ่งมีลมแรง เกษตรกรควรผูกยึดและค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้มั่นคงแข็งแรงเพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักและต้นโค่นล้ม รวมทั้งควรคลุมดินบริเวณโคนต้นพืชและให้น้ำแก่พืชอย่างเหมาะสม เนื่องจากความชื้นในดินมีน้อย หากพืชได้รับน้ำไม่เพียงพอจะทำให้พืชชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง และด้อยคุณภาพ สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรดูแลสภาพน้ำให้เหมาะสมกับชนิดของสัตว์น้ำที่เลี้ยง และดูแลจำนวนสัตว์น้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่มีอยู่ หากปริมาณน้ำมีน้อยจะทำให้สัตว์น้ำอยู่อย่างแออัด ส่งผลให้สัตว์น้ำอ่อนแอและเป็นโรคได้ง่าย นอกจากนี้เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการเผาเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพราะจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกร โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 ใต้ ฝั่งตะวันออก ตอนบนของภาคมีอากาศเย็นในตอนเช้าตลอดช่วง ในช่วงวันที่ 23 - 25 ม.ค. 68 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ทางตอนล่างของภาค ส่วนในวันที่ 26 - 28 ม.ค. 68 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 - 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 68 ตั้งแต่ จ. นครศรีธรรมราชขึ้นไป ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ตั้งแต่ จ.สงขลาลงมา ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วน ในวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 ตั้งแต่ จ. นครศรีธรรมราชขึ้นไป ลมตะวันออก ความเร็ว 20 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่ จ.สงขลาลงมา ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 15 - 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29 - 34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 65 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 8 ชม. ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 23 - 25 ม.ค. 68 มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนในวันที่ 26 - 28 ม.ค. 68 มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 - 40 ของพื้นที่ ในช่วงวันที่ 23 - 26 ม.ค. 68 ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนในวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 20 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ห่างฝั่งและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 22 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 34 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 65 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 7 - 8 ชม. - ระยะนี้มีอากาศเย็นทางตอนบนของภาคกับมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง เกษตรกรควรดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยและควรป้องกันศัตรูพืชจำพวกหนอนซึ่งจะกัดกินส่วนที่อ่อนของพืช เช่น ใบอ่อนและยอดอ่อน ทำให้ผลผลิตลดลงและด้อยคุณภาพ ส่วนในช่วงวันที่ 27 - 28 ม.ค. 68 บริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นลมแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง รวมทั้งเกษตรกรที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออก ระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง สำหรับผู้ที่เลี้ยงสัตว์น้ำบริเวณชายฝั่งควรระวังป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว หากสัตว์น้ำเจริญเติบโตได้ขนาดควรรีบจับจำหน่ายออกก่อนบางส่วน เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น NT ลักษณะอากาศในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
ระหว่างวันที่ 15 - 21 มกราคม 2568 มีรายงานฝนตกหนักและหนักมากบริเวณภาคใต้ โดยมีฝนตกหนักมากบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่วนบริเวณจังหวัดที่มีฝนตกหนัก ได้แก่ ตรัง และสตูล สำหรับปริมาณฝนมากที่สุด วัดได้ 157.4 มิลลิเมตร ที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568
ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา