พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2568

ข่าวทั่วไป Monday February 24, 2025 13:22 —กรมอุตุนิยมวิทยา

พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ - 2 มีนาคม พ.ศ. 2568 ออกประกาศวันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 24/2568 การคาดหมายลักษณะอากาศในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 68 บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีลักษณะอากาศแปรปรวน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง / ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงฟ้าผ่าที่อาจเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตกจากประเทศเมียนมาเคลื่อนผ่านภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และประเทศลาวตอนบน สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณทีมีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนทะเลอันดามันคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. 68 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น และมีอากาศร้อนตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ สำหรับลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร อ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร คำเตือนในช่วงวันที่ 24 - 25 ก.พ. 68 เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบน ระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกรวมทั้งฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ส่วนเกษตรกรบริเวณภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับชาวเรือและชาวประมงบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง โดยเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันดังกล่าว

คำแนะนำสำหรับการเกษตร ภาค พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์ เหนือ ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่งในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 27-32 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 6-15 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างและด้านตะวันออกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 17-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-38 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 5-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 % ความยาวนานแสงแดด 5-8 ชม. - ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 68 จะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกได้ในบางพื้นที่ จากนั้นอุณหภูมิจะสูงขึ้นและมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยจะยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงบางแห่ง เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ควรสำรวจการผูกยึดค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้มีความมั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันกิ่งฉีกหักต้นโค่นล้มเมื่อมีลมแรง ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ควรดูแลสภาพแวดล้อมรอบบริเวณโรงเรือน โดยตัดแต่งกิ่งของต้นไม้ที่อยู่ใกล้โรงเรือน เพื่อป้องกันกิ่งไม้หักโค่นหรือล้มทับโรงเรือน นอกจากนี้เกษตรกรควรกักเก็บน้ำฝนเอาไว้ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนน้อยตะวันออก ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. อากาศเย็นกับมีลมแรง โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และเฉียงเหนือ ลูกเห็บตกบางแห่งในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 26-31 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 11-16 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. อากาศเย็นในตอนเช้า กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางตอนล่างและด้านตะวันตกของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 18-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-37 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 14-18 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 % ความยาวนานแสงแดด 5-8 ชม. - ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 68 อากาศเย็นในตอนเช้า โดยจะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. 68 อุณหภูมิจะสูงขึ้น กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยจะยังคงมีฝนฟ้าคะนอง เกษตรกรควรดูแลสุขภาพ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งแจ้ง ขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เพราะสัตว์เลี้ยงอาจได้รับอันตรายจากฟ้าผ่าได้ นอกจากนี้เกษตรกรควรกักเก็บน้ำฝนเอาไว้ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ทางด้านการเกษตรในช่วงที่มีฝนน้อย กลาง ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงและลูกเห็บตกบางแห่งในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 20-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 60-70 % ความยาวนานแสงแดด 5-7 ชม. - ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 68 จะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. 68 อุณหภูมิจะสูงขึ้น กับมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยจะยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง นอกจากนี้เกษตรกรควรระวังการระบาดของศัตรูพืชจำพวกปากดูด เช่น เพลี้ยไฟพริกในกุหลาบและพืชตระกูลส้ม และไรแดงแอฟริกันในพืชตระกูลส้ม เป็นต้น สำหรับฝนที่ตกในช่วงนี้ ปริมาณมีไม่มากพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมอย่างเหมาะสม ตะวันออก

ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-60 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. มีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 36-38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 % ความยาวนานแสงแดด 5-7 ชม. - ในช่วงวันที่ 24-25 ก.พ. 68 จะมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรงบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 26 ก.พ. - 2 มี.ค. 68 อุณหภูมิจะสูงขึ้น และมีอากาศร้อนในตอนกลางวัน โดยยังคงมีฝนฟ้าคะนองบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ควรตัดแต่งกิ่งรวมทั้งผูกยึดค้ำยันกิ่งและลำต้นของไม้ผลให้มีความแข็งแรงป้องกันกิ่งฉีกหักต้นโค่นล้ม ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรเปิดเครื่องตีน้ำ หลังจากฝนตก เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำป้องกันการน๊อกน้ำ ใต้ ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 24-26 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 20-35 กม./ชม.ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป: ลมตะวันออก ความเร็ว 20-40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 28-31 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 27 ก.พ. - 2 มี. ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-30 ของพื้นที่ ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขึ้นมา: ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราช ลงไป: ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณ

ที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-80 % ความยาวนานแสงแดด 4-7 ชม. ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 24-26 ก.พ. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 40-70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 22-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 27 ก.พ. - 2 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10-20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 65-75 % ความยาวนานแสงแดด 5-8 ชม. - ระยะนี้จะมีฝนเพิ่มขึ้น โดยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ส่วนมากทางฝั่งตะวันออกของภาค เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยดูแลระบบระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขังแปลงปลูกพืชเมื่อมีฝนตกหนัก ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรเปิดเครื่องตีน้ำหลังจากฝนตก สำหรับคลื่นลมบริเวณ อ่าวไทยในช่วงวันที่ 23-25 ก.พ. 68 จะมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ชาวเรือและชาวประมงควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองโดยเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันดังกล่าวPK ลักษณะอากาศในรอบ 7 วันที่ผ่านมา

ระหว่างวันที่ 17 - 23 กุมภาพันธ์ 2568 บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและทะเลจีนใต้ในวันแรกของสัปดาห์ โดยในวันสุดท้ายของสัปดาห์บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรงอีกระลอกหนึ่งจากประเทศจีนแผ่เสริมลงมาปกคลุมบริเวณดังกล่าว ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกตลอดสัปดาห์ ลักษณะดังกล่าวทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงมีอากาศเย็นบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีฝนเกือบตลอดสัปดาห์กับมีฝนหนักบางพื้นที่ สำหรับภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นกับมีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ในระยะปลายสัปดาห์ เนื่องจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกที่พัดปกคลุมปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงขึ้นในช่วงดังกล่าว

ภาคเหนือ มีอากาศเย็นทั่วไปโดยเฉพาะทางตอนบนของภาคเกือบตลอดช่วง กับมีอากาศหนาวบางพื้นที่ส่วนมากในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดดอยมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด โดยมีฝน ร้อยละ 10-45 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักบางแห่งในช่วงวันที่ 20-21 ก.พ. นอกจากนี้มีรายงานลมกระโชกแรงบริเวณจังหวัดลำปาง ในวันที่ 19 วันที่ 21 และวันที่ 23 ก.พ. จังหวัดลำพูน เชียงราย และพะเยา ในวันที่ 21 ก.พ. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นเกือบทั่วไปตลอดสัปดาห์ กับมีอากาศหนาวบางพื้นที่บริเวณจังหวัดสกลนคร ในวันสุดท้ายของสัปดาห์ สำหรับบริเวณเทือกเขาและยอดภูมีอากาศเย็นถึงหนาว โดยมีฝนน้อยกว่าร้อยละ 15 ของพื้นที่ตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักบางพื้นที่ในระยะต้นสัปดาห์ ภาคกลาง มีอากาศเย็นหลายพื้นที่ในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ โดยมีฝนร้อยละ 5-30 ของพื้นที่ตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักบางแห่งในวันที่ 18-20 ก.พ. ภาคตะวันออก มีอากาศเย็นบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 18-19 และวันที่ 23 ก.พ. สำหรับบริเวณเทือกเขามีอากาศเย็น โดยมีฝนร้อยละ 35-75 ของพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ กับมีฝนหนักบางพื้นที่ ภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีอากาศเย็นหลายพื้นที่เกือบตลอดสัปดาห์ โดยมีฝนร้อยละ 10-35 ของพื้นที่ในระยะต้นและกลางสัปดาห์ จากนั้นมีฝนเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์มากกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ โดยมีฝนหนักบางพื้นที่ในวันที่ 17, วันที่ 20-21 และวันที่ 23 ก.พ. และฝนหนักมากบางแห่งในวันสุดท้ายของสัปดาห์ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีอากาศเย็นบางพื้นที่ในระยะครึ่งแรกของสัปดาห์ โดยมีฝนร้อยละ 10-50 ของพื้นที่ เว้นแต่วันสุดท้ายของสัปดาห์มีฝนมากกว่าร้อยละ 80 ของพื้นที่ กับมีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่

สัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานฝนตกหนักมากบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช ปัตตานี และตรัง ส่วนบริเวณจังหวัดที่มีฝนตกหนัก ได้แก่ ตาก พิจิตร เลย นครราชสีมา นครสวรรค์ อุทัยธานี พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี นครปฐม นครนายก สระแก้ว ระยอง ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี พัทลุง สงขลา ยะลา และนราธิวาส

ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ