พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า ระหว่างวันที่ 5 - 11 มีนาคม พ.ศ. 2568 ออกประกาศวันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2568 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 28/2568 การคาดหมายลักษณะอากาศ ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. 68 ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปก/ คลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นเข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยจะเริ่มมีผลกระทบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคอื่นๆ จะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ส่วนในช่วงวันที่ 9 - 11 มี.ค. 68 ความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดในบางพื้นที่ ในขณะที่ลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนล่าง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ยังคงทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนฟ้าคะนองกับมีกระโชกแรงเกิดขึ้นได้บางแห่ง
ในช่วงวันที่ 6 - 7 มี.ค. 68 ลมตะวันออกกำลังอ่อนที่พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามันจะเริ่มมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้เริ่มมีฝนเพิ่มขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 11 มี.ค. 68 ลมตะวันออกกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคใต้ และทะเลอันดามัน ยังคงทำให้ภาคใต้มีฝนฟ้าคะนองกับ มีฝนตกหนักบางแห่งส่วนมากทางตอนล่างของภาค ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร และทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร คำเตือนในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. 68 เกษตรกรบริเวณประเทศไทยตอนบน ระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกรวมทั้งฟ้าผ่าที่อาจจะเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดต่อตนเองและสัตว์เลี้ยง
คำแนะนำสำหรับการเกษตร ภาค พยากรณ์อากาศเพื่อการเกษตร 7 วันข้างหน้า และผลกระทบต่อพืช/สัตว์ เหนือ ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ กับมี ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 18 - 23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 37 องศาเซลเซียส ส่วนในช่วงวันที่ 9 - 11 มี.ค. มีอากาศร้อนถึงร้อนจัดและมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 16 - 25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34 - 41 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 5 - 15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 50 - 60 % ความยาวนานแสงแดด 6 - 9 ชม. - ระยะนี้มีอากาศร้อนถึงร้อนจัดในตอนกลางวัน เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีแดดจัดเป็นเวลานาน เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคลมแดด อนึ่ง ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. 68 จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว สำหรับพืชผลทางการเกษตรที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ ควรรีบเก็บเกี่ยวก่อน เพื่อลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ ไม่ควรปล่อยให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในที่โล่งแจ้ง ขณะมีฝนฟ้าคะนอง ตะวันออก ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 - 40 ของพื้นที่ กับมี ลมเฉียงเหนือ กระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 17 - 23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 36 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 9 - 11 มี.ค. อากาศร้อนถึงร้อนจัดกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37 - 40 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 6 - 9 ชม. - ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. 68 จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและเตรียมการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดกับพืชผลทางการเกษตรไว้ด้วย โดยสำรวจตรวจสอบความแข็งแรงของโครงสร้างโรงเรือน และค้ำยันของไม้ผลให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อลดผลกระทบจากลมกระโชกแรงและลูกเห็บตก ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะโคและกระบือ ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในที่โล่งแจ้ง เพราะอาจได้รับอันตรายจากฟ้าผ่าได้ สำหรับฝนที่ตกในระยะนี้ ปริมาณมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เกษตรกรควรให้น้ำเพิ่มเติมแก่พืชอย่างเหมาะสม กลาง ในช่วงวันที่ 6 และ 9 - 11 มี.ค. อากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีอากาศร้อนจัดบางพื้นที่ โดยมี ฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ส่วนมากทางด้านตะวันตกและตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 24 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 37 - 40 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 15 กม./ชม. ส่วนในช่วงวันที่ 7 - 8 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30-40 ของพื้นที่ กับมีลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่งส่วนมากทางด้านตะวันออก อุณหภูมิต่ำสุด 23 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 - 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 20 กม./ชม. ความชื้นสัมพัทธ์ 55 - 65 % ความยาวนานแสงแดด 6 - 9 ชม. - ระยะนี้มีอากาศร้อนอบอ้าวในตอนกลางวัน เกษตรกรควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะบริเวณที่มีแดดจัดเป็นเวลานาน เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคลมแดด อนึ่ง ในช่วงวันที่ 7 - 8 มี.ค. 68 จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมทั้งตรวจสอบโครงสร้างของโรงเรือนให้มีความแข็งแรง นอกจากนี้ผลผลิตทางการเกษตรที่เก็บเกี่ยวแล้ว ไม่ควรตากทิ้งไว้กลางแจ้ง เพราะอาจทำให้ผลผลิตเปียกชื้นเสียหายได้ ตะวันออก ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. อากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองร้อยละ 30 - 60 ของพื้นที่ กับมี ลมกระโชกแรง และมีลูกเห็บตกบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32 - 37 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร และบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตรส่วนในช่วงวันที่ 9 - 11 มี.ค. อากาศร้อนโดยทั่วไปกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน โดยมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 - 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 - 38 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ความชื้นสัมพัทธ์ 60 - 70 % ความยาวนานแสงแดด 5 - 7 ชม. - ในช่วงวันที่ 6 - 8 มี.ค. 68 จะมีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ เกษตรกรควรระวังอันตรายและเตรียมการป้องกันความเสียหายจากสภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ควรสำรวจตรวจสอบการผูกยึดค้ำยันกิ่งและลำต้นให้มีความแข็งแรง รวมทั้งตัดแต่งกิ่งเพื่อลดผลกระทบจากลมกระโชกแรง ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรเปิดเครื่องตีน้ำ หลังจากฝนตก เพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำและป้องกันการแยกชั้นของน้ำ นอกจากนี้เกษตรกรควรดูแลระบบระบายน้ำภายในแปลงปลูกให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง ใต้ ฝั่งตะวันออก ในช่วงวันที่ 6 - 7 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 11 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 - 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา : ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป : ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 21 - 26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30 - 36 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 65 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 5 - 8 ชม. ฝั่งตะวันตก ในช่วงวันที่ 6 - 7 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 10 - 20 ของพื้นที่ ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 8 - 11 มี.ค. มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 - 30 ของพื้นที่ ลมตะวันออก ความเร็ว 15-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตรและบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร อุณหภูมิต่ำสุด 23 - 27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33 - 36 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 65 - 75 % ความยาวนานแสงแดด 5 - 8 ชม. - ในสภาวะอากาศที่มีฝนตกไม่ต่อเนื่อง เกษตรกรควรระวังการระบาดของศัตรูจำพวกเพลี้ยและหนอนในพืชไร่ ไม้ผล และพืชผัก โดยหมั่นสำรวจแปลงปลูก หากพบการระบาดควรรีบกำจัดก่อนที่จะขยายเป็นวงกว้าง ส่วนเกษตรกรที่เลี้ยงสัตว์น้ำควรควบคุมปริมาณการให้อาหาร เนื่องจากเศษอาหารที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของสัตว์น้ำ นอกจากนี้ ควรบริหารจัดการน้ำที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทางด้านการเกษตร เพื่อจะได้มีน้ำใช้ในช่วงแล้ง รวมทั้งควรคลุมดินบริเวณแปลงปลูกและโคนต้นพืช เพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำบริเวณผิวดินและรักษาความชื้นภายในดิน ลักษณะอากาศในรอบ 7 วันที่ผ่านมา
ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 4 มีนาคม 2568 มีรายงานฝนตกหนักมากบริเวณจังหวัดสระแก้ว ส่วนบริเวณจังหวัดที่มีฝนตกหนัก ได้แก่ มุกดาหาร ราชบุรี ระยอง ตราด สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช
ที่มา: กรมอุตุนิยมวิทยา