บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงบน ตลอดจนกลยุทธ์การสร้างความแตกต่างของสินค้าและคอนโดมิเนียมที่รอการส่งมอบจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การประเมินอันดับเครดิตยังคำนึงถึงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่จะเพิ่มสูงขึ้นใน 2-3 ปีข้างหน้าจากการลงทุนจำนวนมากในอนาคต ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ลักษณะของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง และการแข่งขันในการซื้อที่ดินที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่น่าพอใจเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง ทั้งนี้ แม้การแข่งขันในตลาดคอนโดมิเนียมจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แต่บริษัทก็ควรจะรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ รวมทั้งรักษาระดับกระแสเงินสดและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ระดับปัจจุบันเอาไว้แม้บริษัทจะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการซึ่งรวมถึงโครงการที่เพลินจิต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางซึ่งก่อตั้งในปี 2534 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2539 ตระกูลธนากิจอำนวยและเครือญาติยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน 14% ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมตั้งแต่ปี 2549 เนื่องจากแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยหันมานิยมการมีที่พักอยู่ในเมืองมากขึ้น ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2553 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัย 17 โครงการ ด้วยมูลค่าเหลือขายประมาณ 5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบในช่วงปลายปี 2553 จนถึงปี 2557 จำนวนมากถึงประมาณ 7,000 ล้านบาท ที่อยู่อาศัยในโครงการของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียมซึ่งคิดเป็น 64% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด บ้านเดี่ยว 21% ทาวน์เฮ้าส์ 10% และที่ดินเปล่า 5% การออกแบบที่อยู่อาศัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้โครงการของบริษัทแตกต่างไปจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายของบริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 3,696 ล้านบาทในปี 2552 จาก 2,164 ล้านบาทในปี 2551 และเฉพาะในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2553 ก็เพิ่มขึ้น 66% เป็น 3,267 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน การเติบโตของยอดขายมีสาเหตุหลักมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าที่มีอย่างต่อเนื่องในโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่หลายโครงการ ทั้งนี้ ยอดขายที่รอการส่งมอบจำนวนมากจะทำให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่แน่นอนในอนาคต ในปี 2552 รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 2,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จาก 2,352 ล้านบาทในปี 2551 โดยรายได้จากทาวน์เฮ้าส์และที่ดินเปล่ามีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้จากคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวลดลง ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 12% เป็น 1,426 ล้านบาท จาก 1,272 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2552 ทั้งนี้ เนื่องจากการรับรู้รายได้ตามความคืบหน้าของงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่มากขึ้นและจากยอดขายบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จพร้อมขายที่เพิ่มขึ้น ฐานะการเงินของบริษัทในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2553 ดีขึ้นอย่างมากโดยสาเหตุหลักมาจากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการ “โนเบิล รีมิกซ์” และ “โนเบิล โซโล” มูลค่ารวม 3,356 ล้านบาท ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเท่ากับ 36.23% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นจาก 8.39% ในปี 2552 และ -2.99% ในปี 2551 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมภายในเดือนมิถุนายน 2553 กำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุงแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 ของบริษัทที่ 33.23% นั้นสูงกว่าระดับ 19.51% ในปี 2552 และ 6.57% ในปี 2551 ค่อนข้างมาก อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ดีขึ้นเป็น 40.42% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 โดยลดลงจาก 46.97% ณ สิ้นปี 2552 และ 44.01% ณ สิ้นปี 2551 แม้ฐานะการเงินของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 จะดีกว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังจำเป็นจะต้องรักษากระแสเงินสดจากการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่แน่นอนเอาไว้ให้ได้
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2552 ค่อนข้างผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 และอยู่ในสภาวะทรงตัวในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อไปอีก ทั้งนี้ หลังจากมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในปี 2552 ผู้ประกอบการรายใหญ่เกือบทั้งหมดจึงมีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น การซื้อที่ดินในทำเลที่เหมาะสมจึงมีแนวโน้มที่จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลที่ส่วนใหญ่สิ้นสุดในปี 2553 ยังส่งผลทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะค่อย ๆ ฟื้นตัวตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ — จบ
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัด อันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html