ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร “ธ. นครหลวงไทย” เป็นระดับ “A+” จาก “A”และเพิ่มอันดับเครดิตตราสารหนี้เป็นระดับ “A” จาก “A-” ด้วยแนวโน้ม “Positive”

ข่าวทั่วไป Wednesday December 29, 2010 15:01 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เป็น

ระดับ “A+” จาก “A” และเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารเป็นระดับ “A” จาก “A-” โดยแนวโน้มยัง

คง Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มได้รับการยกระดับจากอิทธิพลของอันดับเครดิตเฉพาะของธนาคารจากการมี

ฐานะเป็นธนาคารลูกซึ่งมีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจหลักให้แก่ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารธนชาตได้รับการ

จัดอันดับเครดิตที่ระดับ “A+/Positive” จากทริสเรทติ้ง อันดับเครดิตเฉพาะของธนาคารนครหลวงไทยสะท้อนถึงความสามารถ

ของคณะผู้บริหารในการดำเนินกิจการธนาคารขนาดกลางที่มีเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง มีการบริหาร

สภาพคล่องที่ดี มีฐานลูกค้าเงินฝากที่แข็งแกร่ง และมีเงินกองทุนที่เพียงพอรองรับความสูญเสียจากความเสี่ยงที่อยู่นอกเหนือความ

คาดหมายได้ในระดับหนึ่ง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการถดถอยลงอย่างต่อเนื่องของคุณภาพสินทรัพย์ตามปริมาณของสิน

เชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความไม่แน่นอนของการควบรวมธุรกิจระหว่าง

ธนาคารและธนาคารธนชาตซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการขยายธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในช่วงการรวม

กิจการ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนบทบาทของธนาคารนครหลวงไทยในฐานะเป็นธุรกิจหลัก ของธนาคารธนชาต โดยคาดหมายว่าธนาคารจะสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของธนาคารธนชาตในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ และความเสี่ยงในช่วงการควบรวมธุรกิจได้ ทั้งนี้ ระบบบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องที่ดี คณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ และ ระดับเงินกองทุนที่เพียงพอจะช่วยลดทอนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารธนชาตซื้อกิจการของธนาคารนครหลวงไทยโดยผ่านการซื้อหุ้นจากกองทุนเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยรายอื่น ๆ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ธนาคารธนชาตถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยรวมทั้งสิ้น 99.24% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ธนาคารนครหลวงไทยจึงกลาย เป็นธุรกิจหลักของธนาคารธนชาตโดยมีสัดส่วนเงินฝากคิดเป็น 56% ของเงินฝากตามงบการเงินรวมและมีสัดส่วนสินทรัพย์และสิน เชื่อคิดเป็น 47% ของสินทรัพย์และสินเชื่อตามงบการเงินรวมของธนาคารธนชาต ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 กำไรสุทธิ ของธนาคารนครหลวงไทยมีสัดส่วนสูงถึง 51% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของธนาคารธนชาต ปัจจุบันธนาคารธนชาตอยู่ ระหว่างการดำเนินการตามแผนควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทย โดยธนาคารนครหลวงไทยจะยังคงดำเนินธุรกิจธนาคาร พาณิชย์ต่อไปจนกระทั่งกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จโดยจะต้องคืนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2554

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนกันยายน 2553 ธนาคารนครหลวงไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ลำดับที่ 8 ของ ไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินทรัพย์ สินเชื่อ และเงินฝาก 4% สินทรัพย์รวมของธนาคารมีจำนวน 395 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2553 ในขณะที่มียอดสินเชื่อและเงินฝาก 273 พันล้านบาทและ 278 พันล้านบาทตามลำดับ ภายหลังการซื้อกิจการ โดยธนาคารธนชาต สินเชื่อและเงินฝากของธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2553 ตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2553 ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากร่วมกับธนาคารธนชาตโดยมีข้อเสนอที่เหมือนกันแก่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม การถ่าย โอนกิจการในช่วงของการควบรวมธุรกิจจะเป็นไปอย่างราบรื่นหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป

คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารนครหลวงไทยถดถอยลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2549 ถึงเดือนกันยายน 2553 สัดส่วนสิน เชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมของธนาคารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 2.6% ในปี 2548 เป็น 9.3% ใน ปี 2552 และ 10.5% ณ เดือนกันยายน 2553 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 5.7% ของธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ในขณะ เดียวกัน อัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน รวมยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้าง หนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) ต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารก็เพิ่มขึ้นเช่นกันจากระดับ 9.1% ในปี 2548 เป็น 13.5% ในปี 2552 และ 14.3% ณ เดือนกันยายน 2553

อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในปี 2552 คิดเป็น 122% ของอัตราขั้นต่ำตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และลดลงเป็น 109% ณ เดือนกันยายน 2553 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 149% สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ลดลงเล็กน้อยโดยอยู่ที่ระดับ 65% จาก 67% เมื่อสิ้นปี 2552 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 84% สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั้ง 11 แห่ง อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีระดับเงินกองทุนที่เพียงพอดังเห็น ได้จากอัตราความเพียงพอของเงินกองทุนต่อทรัพย์สินเสี่ยงที่ระดับ 16.67% และอัตราความเพียงพอของเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ ระดับ 12.27% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ในขณะที่สินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้คิดเป็น 0.8 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้ สงสัยจะสูญ ลดลงจาก 0.9 เท่าในปี 2552 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพียงพอรองรับการขาดทุนที่ ไม่สามารถคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงในอนาคตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจ

ธนาคารนครหลวงไทยรายงานผลกำไรสุทธิ 4,147 ล้านบาทในปี 2552 เกือบเท่ากับกำไรสุทธิ 4,114 ล้านบาท ในปี 2551 อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมถัวเฉลี่ยของธนาคารปรับลดลง เล็กน้อยในปี 2552 เป็น 0.98% และ 9.81% ตามลำดับ จากอัตรา 0.99% และ 10.60% ในปี 2551 สำหรับช่วง 9 เดือน แรกของปี 2553 ธนาคารมีผลกำไรสุทธิ 3,435 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปี 2552 ทำให้อัตราผลตอบแทนต่อ สินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมถัวเฉลี่ยของธนาคารที่ยังไม่ปรับเป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ในระดับ 0.84% และ 7.63% ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 0.71% และ 7.04% ในช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยการถดถอยลง ของคุณภาพสินทรัพย์ยังคงเป็นประเด็นกังวลที่สำคัญ ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อาจส่งผลกระทบต่อความ สามารถในการทำกำไรของธนาคารในช่วงระหว่างการควบรวมกิจการ ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                        เพิ่มเป็น A+ จาก  A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SCIB196A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562        เพิ่มเป็น A จาก  A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:		                                Positive (บวก)
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ
ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัด
อันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต
การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับ
ความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้
เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์
เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุ
ประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท
ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริ
สเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิด
ชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะ
ไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการ
จัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website:
http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ