บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วย
แนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศ
ตลอดจนความสามารถในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังและหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายที่มีกำลังไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าที่หลาก
หลาย รวมทั้งฐานะการเงินที่แข็งแกร่งตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา ในขณะที่ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทได้รับแรงหนุน
จากสัญญาการให้ใช้ลิขสิทธ์ของ Siemens Transformers Austria GmbH & Co KG จากประเทศออสเตรียซึ่งช่วยสนับสนุน
ในเรื่องการพัฒนาการออกแบบและเป็นแหล่งอ้างอิงในตลาดเป็นหลัก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงแนวโน้มการเติบโต
ของความต้องการใช้ไฟฟ้า ศักยภาพการเติบโตในตลาดส่งออกหลายแห่ง และอุปสรรคที่ค่อนข้างสูงในการเข้าสู่ตลาดหม้อแปลง
ไฟฟ้ากำลัง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงที่รายได้ประมาณ 1 ใน 3 ของบริษัทต้องพึ่งพาลูกค้า
ในภาครัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้า รวมถึงการพึ่งพาตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศสำหรับตลาดส่งออก ความต้องการแหล่งอ้างอิงใน
การเข้าตลาดใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังที่มีกำลังไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าสูง และการแข่งขัน
ที่รุนแรงในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความสามารถใน
การทำกำไรเอาไว้ได้แม้จะต้องเผชิญกับคู่แข่งหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังที่มีชื่อเสียงในตลาดโลกและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดหม้อ
แปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายในประเทศ บริษัทควรสำรองสภาพคล่องทางการเงินเอาไว้ให้เพียงพออยู่เสมอ โดยที่อัตราส่วนเงินกู้
รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่ควรจะอ่อนตัวลงเกินกว่าระดับ 50% แม้จะมีการลงทุนในอนาคต ทั้งนี้ ในกรณีที่บริษัทจะออกหุ้นกู้ไม่มี
ประกันในอนาคต อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีโอกาสที่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรหากบริษัทมีอัตราส่วนภาระหนี้ที่มีหลัก
ประกันเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทถิรไทยก่อตั้งในปี 2530 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในเดือน
พฤษภาคม 2549 นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และคณะผู้บริหารหลักเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัด
ส่วนรวมกัน 39% ณ เดือนกรกฎาคม 2553 บริษัทเป็นผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ารายเดียวในประเทศซึ่งผลิตทั้งหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง
และหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ของบริษัทครอบคลุมทั้งหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังที่มีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 5-300 เมกะโวลต์
แอมแปร์ที่แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 230 กิโลโวลต์และหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายที่มีกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1-100 เมกะโวลต์แอมแปร์ที่
แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 36 กิโลโวลต์ รายได้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 มาจากยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าระบบ
จำหน่าย 49% หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง 46% และรายได้จากการให้บริการอีก 5% ฐานลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยกลุ่มรัฐวิสาหกิจ
การไฟฟ้า (36% ของรายได้รวม) บริษัทเอกชน (30%) และลูกค้าภาคการส่งออก (29%)
บริษัทเป็น 1 ใน 3 ของผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดโดยประมาณคิดเป็น 1 ใน 3 ของ ตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง การแข่งขันในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ากำลังมีความรุนแรงน้อยกว่าหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายเนื่องจาก รูปแบบทางวิศวกรรมที่มีความซับซ้อนมากกว่า กลุ่มผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้ากำลังเป็นกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงหรือ ธุรกิจที่ต้องใช้หม้อแปลงไฟฟ้าที่มีการออกแบบทางวิศวกรรมโดยเฉพาะ ดังนั้น ความน่าเชื่อถือและคุณภาพจึงเป็นคุณสมบัติที่จำเป็น สำหรับหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง โดยผลงานในอดีตและแหล่งอ้างอิงจึงได้รับการกำหนดให้เป็นเงื่อนไขที่จำเป็น ในตลาดหม้อแปลง ไฟฟ้าระบบจำหน่ายมีการแข่งขันสูงในด้านราคาเนื่องจากผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนน้อยกว่าและมีผู้ผลิตจำนวนมาก สำหรับตลาดใน ประเทศนั้น รัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าเป็นผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้าโดยตรงและเป็นผู้ใช้รายสำคัญเนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนา ระบบผลิตไฟฟ้าและระบบสายส่งของประเทศ โดยปกติรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าจะจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อพัฒนาสถานีไฟฟ้าแรง สูงและสถานีไฟฟ้าย่อย รวมทั้งปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบสายส่ง ผู้ใช้หม้อแปลงไฟฟ้าอื่น ๆ เป็นกลุ่มลูกค้าโรงงาน อุตสาหกรรมที่หม้อแปลงไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในโรงงาน ดังนั้น ความต้องการในอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าจึงขึ้นอยู่กับ การใช้ไฟฟ้าด้วยส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ความต้องการหม้อแปลงไฟฟ้าถือว่าค่อนข้างผันผวนตามนโยบายการลงทุนของทั้งภาครัฐ และเอกชน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า รายได้ของบริษัทถิรไทยเติบโตจาก 1,409 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 2,106 ล้านบาท และ 2,223 ล้านบาทในปี 2551 และปี 2552 ตามลำดับ การเติบโตเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจที่ดีในปี 2550 และปี 2551 เนื่อง จากยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าโดยปกติจะปรากฏผลประมาณ 6-9 เดือนหลังจากได้รับคำสั่งซื้อเพราะเป็นสินค้าที่มีระยะเวลาในการ ผลิต ยอดรับคำสั่งซื้อมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1,531 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 2,198 ล้านบาทในปี 2550 และ 2,381 ล้านบาทใน ปี 2551 อย่างไรก็ตาม ยอดรับคำสั่งซื้อลดลงเหลือ 1,305 ล้านบาทในปี 2552 คิดเป็นสัดส่วนที่ลดลง 45% จากปีที่แล้วซึ่งเป็น ผลมาจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกตั้งแต่ปลายปี 2551 และการประกาศระงับโครงการอุตสาหกรรมในเขตมาบตาพุดเมื่อเดือน กันยายน 2552 จากสภาวะที่คลุมเครือดังกล่าวมีผลทำให้บริษัทมียอดรับคำสั่งซื้อในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 ลดลง 4.6 % เป็น 1,008 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 1,057 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2552 รายได้รวมใน 9 เดือนแรกของปี 2553 จึง ลดลง 26% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็น 1,132 ล้านบาท บริษัทมียอดขายที่รอการส่งมอบ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 คิดเป็น 822 ล้านบาท โดยผลประกอบการเต็มปีในปี 2553 มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงกว่าปี 2552 แม้ว่ายอดรับคำสั่งซื้อและยอดขายจะ เริ่มปรับตัวดีขึ้นบ้างในไตรมาสที่ 4 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2553 ผลประกอบการของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจากปี 2550 เป็นต้นมาเนื่องจากการปรับปรุงการบริหารจัดการต้นทุน ทั้งนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ในช่วง 14%-16% ตั้งแต่ปี 2550 เพิ่มขึ้นจาก 10%-13% ในช่วงปี 2545-2549 เงินทุนจากการดำเนินงานค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นจาก 116 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 335 ล้านบาทในปี 2552 และคงอยู่ที่ 190 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 อัตราส่วน เงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทค่อนข้างผันผวนเนื่องจากบริษัทใช้เงินกู้ยืมระยะสั้นในการดำเนินธุรกิจ โดยเงินกู้ยืมระยะ ยาวปรับลดลงเรื่อย ๆ ตามกำหนดการชำระคืน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ในช่วงปี 2550 จนถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 กระแสเงินสดอยู่ในระดับที่น่าพอใจโดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้ รวมอยู่ที่ระดับ 40%-50% และอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 8-9 เท่าในช่วงปี 2552 จนถึงช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 — จบ
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html