ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร & ตราสารหนี้ “บ. เอ็ม บี เค” เป็นระดับ “A” จาก “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday February 1, 2011 07:18 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A” จาก “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่ปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนถึงฐานะทาง การตลาดของบริษัทในธุรกิจให้เช่าพื้นที่ที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการเปิดให้บริการของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค” รวมถึงความ สามารถในการรักษาอัตราการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ความยืดหยุ่นด้านการเงินที่ดีจากการลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย จำนวนมาก ตลอดจนการมีกระแสเงินสดที่แน่นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีก และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มธนชาต อย่างไรก็ ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากต้นทุนการดำเนินงานที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากสัญญาเช่าที่ดินและทรัพย์สินของศูนย์การค้าฉบับ ใหม่ที่จะเริ่มในปี 2556 และการขยายสู่ธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่แน่ นอนจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งจะช่วยชดเชยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอในธุรกิจโรงแรมได้ และคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับ คุณภาพสินเชื่อรถจักรยานยนต์เอาไว้ในระดับที่ดีด้วยการมีขั้นตอนการพิจารณาสินเชื่อและกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เข้มงวด จากแผน รายจ่ายฝ่ายทุนที่อยู่ในระดับปานกลางในปี 2553-2554 ทำให้คาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครง สร้างเงินทุนในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเอ็ม บี เค ก่อตั้งในปี 2517 โดยปัจจุบันมี บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และ บริษัทในเครือเป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วนรวม 20% บริษัทดำเนินธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า โรงแรม สนามกอล์ฟ พัฒนาโครงการที่อยู่ อาศัย โรงสีข้าว และธุรกิจการเงิน โดยเป็นเจ้าของและบริหารจัดการศูนย์การค้า “เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นศูนย์การค้า ที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แม้จะมีธุรกิจที่หลากหลาย แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงขึ้นอยู่กับสินทรัพย์หลักอย่างศูนย์ การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และ “โรงแรมปทุมวันปริ๊นเซส” เป็นอย่างมาก ซึ่งสินทรัพย์ดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินเช่าติดกับย่าน สยามสแควร์ในกรุงเทพฯ โดยในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ประมาณ 40% และกระแสเงินสดประมาณ 65% ให้ แก่บริษัท

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าเพื่อลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของรายได้ บริษัทเอ็ม บี เค ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจให้ เช่าพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนการลงทุน 31% ใน บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของและบริหารศูนย์การค้าใน ย่านสยามสแควร์ โดยบริษัทสยามพิวรรธน์เป็นผู้ถือหุ้น 100% ในศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ (18,700 ตารางเมตร, ตร.ม.) และศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่เซ็นเตอร์ (24,890 ตร.ม.) และถือหุ้น 50% ในศูนย์การค้าสยามพารากอน (186,010 ตร. ม.) นอกจากนี้ บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทและบริษัทสยามพิวรรธน์ในสัดส่วน 50% ยังได้ทำการปรับปรุงตกแต่งพื้นที่ให้เช่า ของ “ศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์ค” (เดิมชื่อ “ศูนย์การค้าเสรีเซ็นเตอร์”) พื้นที่ 90,000 ตร.ม. จนแล้วเสร็จและเปิดให้ บริการเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2553 ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) แห่งแรก ของบริษัทซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 โดยมีเป้าหมายที่จะเปิดดำเนินการในช่วงกลางปี 2554 ณ เดือนธันวาคม 2553 บริษัทบริหารพื้นที่ค้าปลีกสุทธิ 192,786 ตร.ม. และจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยภายหลังการเปิดให้บริการศูนย์การค้าชุมชน การซื้ออาคาร สำนักงานขนาด 8,223 ตร.ม. เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 ส่งผลให้บริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่ารวม 48,921 ตร.ม. นอกจากธุรกิจพื้นที่ให้เช่าแล้ว ในเดือนเมษายน 2553 บริษัทยังซื้อกิจการของ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจสินเชื่อรถ จักรยานยนต์ด้วย โดย ณ เดือนกันยายน 2553 บริษัทที ลีสซิ่ง มียอดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์คงค้าง 805 ล้านบาท ซึ่งคิด เป็น 3% ของสินทรัพย์รวม จัดว่าเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดีจากการมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงิน ให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ระดับ 4.21% อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อไปพร้อม ๆ กับการขยายขนาดสินเชื่อ นับเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับบริษัทเอ็ม บี เค

แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเหตุการณ์ความ ไม่สงบของการเมืองภายในประเทศ แต่บริษัทเอ็ม บี เคก็ยังมีผลประกอบการในระดับที่ยอมรับได้ โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 5,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีล่าสุด และในช่วง 3 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 (กรกฎาคม-กันยายน 2553) บริษัทมี รายได้เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 1,670 ล้านบาทภายหลังการเปิดศูนย์การค้าพาราไดซ์พาร์คและการเริ่มให้ บริการธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นของธุรกิจโรง สีข้าวและการชะลอตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงจาก 36.06% ในปีบัญชี 2551/2552 เป็น 29.84% ในปีบัญชี 2552/2553 และเป็น 28.36% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีบัญชี 2553/2554 เงินทุนจาก การดำเนินงานคงอยู่ที่ระดับ 1,700-1,800 ล้านบาทในช่วง 3 ปีบัญชีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 3,458 ล้านบาทในปี บัญชี 2552/2553 ซึ่งเป็นผลมาจากการให้เช่าพื้นที่ระยะยาวในศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ในช่วงปลายปี 2552 ซึ่งทำให้ บริษัทมีกระแสเงินสดรับเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 22.53% ในรอบปีบัญชี 2551/2552 เป็น 45.47% ในปีบัญชี 2552/2553 เงินกู้รวมของบริษัทค่อนข้างคงที่ที่ระดับ 7,778 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจาก 38.64% ในเดือนมิถุนายน 2553 เป็น 36.65% ในเดือนกันยายน 2553 นอกจากนี้ ในปีบัญชี 2552/2553 บริษัทยังรับรู้กำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนจำนวน 2,233 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเสริมให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และ ณ เดือนกันยายน 2553 บริษัทยังมีเงินลงทุนชั่วคราวอีกจำนวน 6,389 ล้านบาทด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ

บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK)
อันดับเครดิตองค์กร:	                             เพิ่มเป็น A จาก A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MBK117A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554	เพิ่มเป็น A จาก A-
MBK137A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556     เพิ่มเป็น A จาก A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                            Stable (คงที่)
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ
ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัด
อันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต
การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับ
ความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้
เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์
เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุ
ประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท
ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริ
สเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิด
ชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะ
ไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการ
จัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website:
http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html




เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ