บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) เป็น “BBB+” จากเดิมที่ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตที่ปรับลดลงสะท้อนถึงผลกระทบในเชิงลบจากการสูญเสียโอกาสที่บริษัทจะได้รับเงินค่าชดเชยจากกรณีพิพาทระหว่างกิจการร่วมค้าบีบีซีดีและการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) รวมทั้งภาระหนี้ที่สูงขึ้นของบริษัทจากการลงทุนในกิจการสัมปทานต่างๆ และกำไรของธุรกิจก่อสร้างที่ลดลงจากต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้นและการชะลอตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในประเทศไทย ผลงานโครงการก่อสร้างสำหรับภาครัฐที่เป็นที่ยอมรับ และรายได้ที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในกิจการสัมปทาน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัท ช. การช่าง จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในการลงทุนกิจการสัมปทานที่มีคุณภาพดี ซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ด้อยลงไปจากระดับปัจจุบัน
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ทริสเรทติ้งได้ออกประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ บริษัท ช. การช่าง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ กทพ. ไม่ต้องชำระค่าก่อสร้างเพิ่มเติมจำนวน 6,039 ล้านบาทให้แก่กิจการร่วมค้าบีบีซีดี ทำให้บริษัทต้องบันทึกกลับรายได้จำนวนประมาณ 2,500 ล้านบาทที่บริษัทเคยรับรู้ในปี 2544 หลังจากที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้ กทพ. ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่กิจการร่วมค้าบีบีซีดี และ กทพ. ได้มีหนังสือยืนยันความยินยอมในการจ่ายค่าชดเชยกับบีบีซีดีแล้ว บีบีซีดีได้ขอขยายเวลาในการชำระหนี้เงินกู้จำนวน 3,449 ล้านบาท (ซึ่งเป็นส่วนของบริษัท ช. การช่าง) ที่มีอยู่กับ Bilfinger Burger AG ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าและธนาคารในประเทศอีก 3 แห่งออกไป ปัจจุบันบีบีซีดีกำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลโดยแสดงเจตนารมณ์ว่าบีบีซีดียังคงมีสิทธิตามกฎหมายในการเรียกร้องค่าเสียหายในการก่อสร้างเพิ่มเติมจาก กทพ. แม้คำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาจะถึงที่สุดแล้วและมีผลผูกมัดต่อบีบีซีดีก็ตาม อย่างไรก็ดี ผลของคำพิพากษาและข้อผูกมัดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ากระบวนการทางศาลอาจใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัท ช. การช่างเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศ บริษัทมีการกระจายแหล่งรายได้โดยการไปลงทุนในโครงการสัมปทานต่างๆ ผ่านทางบริษัทร่วมและบริษัทที่เกี่ยวข้อง งานรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งมีสัดส่วน 80%-90% ของรายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย อย่างไรก็ตาม โครงสร้างรายได้ในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้เมื่อผลการดำเนินงานโครงการสัมปทานต่างๆ มีกำไรมากขึ้น รายได้จากธุรกิจก่อสร้างของบริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้มีการเติบโตจาก 6,852 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 18,918 ล้านบาทในปี 2549 อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงอย่างมากจาก 20.4% มาอยู่ที่ 9.5% ในช่วงเดียวกันเนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างโครงการวงแหวนรอบนอกด้านใต้สูงกว่าที่ประมาณการไว้และการแข่งขันด้านราคาในการประมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้น กำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2550 มาอยู่ที่ 10.50% เนื่องจากมีรายได้จากโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 เข้ามาเมื่อเดือนมีนาคม 2550 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) คิดเป็นมูลค่า 23,452 ล้านบาท โดยมีมูลค่างานโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 คิดเป็น 67% ของมูลค่ารวมของงานในมือ
ในส่วนของธุรกิจสัมปทาน บริษัทมีการลงทุนในทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา และไฟฟ้า โดย ณ เดือนมีนาคม 2550 เงินลงทุนรวมในกิจการสัมปทานของบริษัทตามวิธีส่วนได้เสียมีมูลค่า 8,160 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงการถือหุ้น 14.71% ใน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL), 24.61% ใน บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BMCL), 46.15% ใน บริษัท ประปาไทย จำกัด (TTW), 28.5% ใน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด และ 42.58% ใน บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW) ในเดือนมิถุนายน 2550 บริษัทได้ขายหุ้นจำนวน 5.06 ล้านหุ้นใน PTW ให้แก่ TTW ทำให้บริษัทถือหุ้นใน PTW เพียง 0.05% ปัจจุบัน TTW ถือหุ้นใน PTW 98% เนื่องจากเงินที่ใช้ในการลงทุนในโครงการสัมปทานต่างๆ ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืม ส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีรายได้เงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BECL และ TTW ในขณะที่ BMCL ยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ และ SEAN ยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ภายในปี 2554 ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
-------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2550 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัท ช. การช่าง จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไปโดยใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในการลงทุนกิจการสัมปทานที่มีคุณภาพดี ซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ด้อยลงไปจากระดับปัจจุบัน
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ทริสเรทติ้งได้ออกประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ของ บริษัท ช. การช่าง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ กทพ. ไม่ต้องชำระค่าก่อสร้างเพิ่มเติมจำนวน 6,039 ล้านบาทให้แก่กิจการร่วมค้าบีบีซีดี ทำให้บริษัทต้องบันทึกกลับรายได้จำนวนประมาณ 2,500 ล้านบาทที่บริษัทเคยรับรู้ในปี 2544 หลังจากที่คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้ กทพ. ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่กิจการร่วมค้าบีบีซีดี และ กทพ. ได้มีหนังสือยืนยันความยินยอมในการจ่ายค่าชดเชยกับบีบีซีดีแล้ว บีบีซีดีได้ขอขยายเวลาในการชำระหนี้เงินกู้จำนวน 3,449 ล้านบาท (ซึ่งเป็นส่วนของบริษัท ช. การช่าง) ที่มีอยู่กับ Bilfinger Burger AG ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าและธนาคารในประเทศอีก 3 แห่งออกไป ปัจจุบันบีบีซีดีกำลังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลโดยแสดงเจตนารมณ์ว่าบีบีซีดียังคงมีสิทธิตามกฎหมายในการเรียกร้องค่าเสียหายในการก่อสร้างเพิ่มเติมจาก กทพ. แม้คำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาจะถึงที่สุดแล้วและมีผลผูกมัดต่อบีบีซีดีก็ตาม อย่างไรก็ดี ผลของคำพิพากษาและข้อผูกมัดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการเท่านั้น ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ากระบวนการทางศาลอาจใช้เวลาอย่างน้อย 3 ปี
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัท ช. การช่างเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศ บริษัทมีการกระจายแหล่งรายได้โดยการไปลงทุนในโครงการสัมปทานต่างๆ ผ่านทางบริษัทร่วมและบริษัทที่เกี่ยวข้อง งานรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัทซึ่งมีสัดส่วน 80%-90% ของรายได้และกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย อย่างไรก็ตาม โครงสร้างรายได้ในอนาคตอาจเปลี่ยนแปลงไปจากนี้เมื่อผลการดำเนินงานโครงการสัมปทานต่างๆ มีกำไรมากขึ้น รายได้จากธุรกิจก่อสร้างของบริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยรายได้มีการเติบโตจาก 6,852 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 18,918 ล้านบาทในปี 2549 อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงอย่างมากจาก 20.4% มาอยู่ที่ 9.5% ในช่วงเดียวกันเนื่องจากต้นทุนในการก่อสร้างโครงการวงแหวนรอบนอกด้านใต้สูงกว่าที่ประมาณการไว้และการแข่งขันด้านราคาในการประมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชนที่สูงขึ้น กำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2550 มาอยู่ที่ 10.50% เนื่องจากมีรายได้จากโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 เข้ามาเมื่อเดือนมีนาคม 2550 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างในมือที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) คิดเป็นมูลค่า 23,452 ล้านบาท โดยมีมูลค่างานโครงการเขื่อนน้ำงึม 2 คิดเป็น 67% ของมูลค่ารวมของงานในมือ
ในส่วนของธุรกิจสัมปทาน บริษัทมีการลงทุนในทางด่วน รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา และไฟฟ้า โดย ณ เดือนมีนาคม 2550 เงินลงทุนรวมในกิจการสัมปทานของบริษัทตามวิธีส่วนได้เสียมีมูลค่า 8,160 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงการถือหุ้น 14.71% ใน บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BECL), 24.61% ใน บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (BMCL), 46.15% ใน บริษัท ประปาไทย จำกัด (TTW), 28.5% ใน บริษัท เซาท์อีสท์ เอเชีย เอนเนอร์จี จำกัด และ 42.58% ใน บริษัท ประปาปทุมธานี จำกัด (PTW) ในเดือนมิถุนายน 2550 บริษัทได้ขายหุ้นจำนวน 5.06 ล้านหุ้นใน PTW ให้แก่ TTW ทำให้บริษัทถือหุ้นใน PTW เพียง 0.05% ปัจจุบัน TTW ถือหุ้นใน PTW 98% เนื่องจากเงินที่ใช้ในการลงทุนในโครงการสัมปทานต่างๆ ของบริษัทเป็นเงินกู้ยืม ส่งผลให้ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทมีรายได้เงินปันผลและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BECL และ TTW ในขณะที่ BMCL ยังมีผลประกอบการขาดทุนอยู่ และ SEAN ยังอยู่ในช่วงก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ภายในปี 2554 ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
-------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2550 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว