บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ที่ ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทที่มีมาอย่างยาวนานในตลาดที่ อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนความสามารถในการควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้ อย่างต่อเนื่อง และนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายใน ประเทศที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการแข่งขันที่คาดว่าจะทวีความรุนแรงยิ่ง ขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างซื้อที่ดินกันเป็นอย่างมากตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2553
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรง อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำเอาไว้ได้แม้บริษัทจะมีแผนการขยายธุรกิจต่อไป โดยที่ความสามารถใน การทำกำไรของบริษัทจะได้รับแรงกดดันมากขึ้นจากการสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลและจากภาวะตลาดที่มี การแข่งขันรุนแรง ทั้งนี้ บริษัทควรจะดำรงกระแสเงินสดให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เอาไว้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทมั่นคงเคหะการเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางที่มีประสบการณ์ยาว นาน บริษัทก่อตั้งในปี 2516 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2533 กลุ่มตระกูลตั้งมติธรรมยังคงเป็นผู้ถือ หุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 26% ณ เดือนสิงหาคม 2553 ในปี 2553 บริษัทเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรใน เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลักซึ่งประกอบด้วยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในระดับราคาเฉลี่ยหลังละ 3.3 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังจัดสรรที่ดินเปล่าในราคาตารางวาละ 15,000-50,000 บาทด้วย บริษัทกลับมาพัฒนาทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมอีก ครั้งในปี 2553 โดยราคาเฉลี่ยของทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นอยู่ที่ 2.2 ล้านบาทต่อหลัง และทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นอยู่ที่ 3.6 ล้านบาทต่อ หลัง ส่วนราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมอยู่ที่ 40,000 บาทต่อตารางเมตร รายได้ของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการขายบ้านซึ่งคิด เป็นสัดส่วนถึง 87% ของรายได้รวมในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 ในขณะที่รายได้จากการขายที่ดินเปล่ามีสัดส่วนคิดเป็น 8% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการบริหารต้นทุนค่าก่อสร้างซึ่งทำให้บริษัทมีอัตรากำไรในระดับ ที่น่าพอใจ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ยอดขายของบริษัทมั่นคงเคหะการอยู่ในระดับเกือบ 2,300 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2551-2553 แม้ว่ายอดขายบ้านลดลง 5% เป็น 2,179 ล้านบาทในปี 2553 แต่ยอดขายคอนโดมิเนียมมูลค่า 121 ล้านบาทช่วย ผลักดันให้ยอดขายรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 2,299 ล้านบาทเมื่อเทียบกับ 2,295 ล้านบาทในปี 2552 รายได้รวมของบริษัทใน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 เท่ากับ 1,776 ล้านบาท ลดลง 5% จาก 1,869 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2552 ซึ่งเป็น ผลมาจากยอดขายที่ดินเปล่าที่ต่ำลง ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 อ่อนตัวลงจาก สาเหตุหลักคือการสิ้นสุดนโยบายการลดภาษีธุรกิจเฉพาะของรัฐบาลและบางส่วนจากกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย ของบริษัทหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลสิ้นสุดลง บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับปรุง แล้ว 24.15% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ลดลงจาก 30.69% ในปี 2552 และ 28.05% ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทสูงกว่าบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แม้ว่าผลประกอบ การจะลดลง แต่ภาระหนี้ที่ต่ำก็ช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่กระแสเงินสดของบริษัท บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงาน ต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 44.19% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2553 จาก 41.04% ในช่วงเดียวกันของปี 2552 นอกจากนี้ การมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ประมาณ 1,000 ล้านบาทและอัตราส่วน เงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนในระดับที่ต่ำ (15.12%) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่สภาพคล่อง ของบริษัท
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยของไทยเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 และอยู่ในสภาวะทรงตัวตลอดปี 2553 อย่างไร ก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2553 ได้รับผลกระทบบางส่วนจากความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 และ จากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลที่สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2553 ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงมีส่วนแบ่ง ทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นต่อไป และส่วนใหญ่มีแผนการขยายธุรกิจเชิงรุกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น ราคาที่ดินในทำเลที่ดีจึงมี แนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้น หลังสิ้นสุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาล ความต้องการที่อยู่อาศัยจะขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงในนโยบายอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่า หลักประกัน (LTV Ratio) ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะช่วยลดความต้องการซื้อ อสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไรลงและส่งเสริมให้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เติบโตอย่างมีคุณภาพมากขึ้นนับจากปี 2554 เป็นต้นไป ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html