บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,500 ล้านบาทของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปชำระหนี้เงินกู้ยืม และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่ สุดในประเทศ ตลอดจนจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ รวมทั้งบริการที่มีคุณภาพในระดับสูง ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทภายใต้ชื่อกลุ่ม โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอชด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอน บางส่วนจากความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคตจากการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนอัตราส่วนผลตอบแทนต่อ เงินทุนถาวรที่ค่อนข้างต่ำ การแข่งขันที่มีเพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการธุรกิจเพื่อสุขภาพจากประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ และความสามารถของบริษัทในการบริหารกิจการโรงพยาบาลที่รวมเข้ามาใหม่ได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ การประเมิน อันดับเครดิตยังคำนึงถึงการลงทุนในหุ้นสามัญจำนวน 46,116,400 หุ้นซึ่งคิดเป็น 6.32% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) จำนวน 35,000,000 หน่วยซึ่งคิดเป็น 4.79% ของทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัทโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจและฐานะการเงินของบริษัทที่การปรับ ตัวดีขึ้น ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัทมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถควบคุมการบริหารโรงพยาบาลต่าง ๆ ภายใต้สังกัดได้ เป็นอย่างดีและนำโรงพยาบาลภายใต้บริษัทเฮลต์ เน็ตเวิร์คเข้ามารวมกลุ่มได้สำเร็จ ในทางตรงกันข้าม หากฐานะการเงินของ บริษัทถดถอยลงหรือระดับหนี้สินสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้ก็จะมีผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลกรุงเทพ กิจการของบริษัทขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2547 ผ่านการควบรวมกิจการ โดยบริษัทได้ซื้อกิจการ ของ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) บริษัท บีเอ็นเอช เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด และโรงพยาบาลในจังหวัดที่สำคัญของ ประเทศไทยหลายแห่งซึ่งเป็นกิจการของ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ตจำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จำกัด และ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จำกัด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในประเทศกัมพูชาด้วย ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 19 แห่ง ด้วยจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 2,922 เตียง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวชโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในต่างประเทศภายใต้ชื่อ Royal International Hospital เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมาบริษัท ประกาศที่จะรวมกิจการกับ บริษัท เฮลท์ เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและกลุ่มโรง พยาบาลเปาโล หลังจากการรวมกิจการในครั้งนี้ บริษัทจะมีโรงพยาบาลในสังกัดเพิ่มเป็น 27 แห่ง และมีเตียงบริการผู้ป่วยรวม 4,639 เตียง ทั้งนี้ เนื่องจากโรงพยาบาลภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลพญาไทและเปาโลจะเข้ามารวมในกลุ่มด้วย
รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2548-2552 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปีที่ ระดับ 20% โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 อยู่ที่ 17,529 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจาก มีจำนวนผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น รวมทั้งยังมีจำนวนผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นด้วย สำหรับงวด 9 เดือนแรกของ ปี 2553 จำนวนผู้ป่วยนอกต่อวันอยู่ที่ 10,226 คน หรือเติบโต 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงดังกล่าว จำนวนผู้ป่วยใน เพิ่มขึ้น 9% เป็น 1,523 รายต่อวัน อย่างไรก็ตาม จำนวนเฉลี่ยของวันที่ผู้ป่วยในเข้ารับการรักษาลดลงจากประมาณ 2.95 วัน ในปี 2552 มาอยู่ที่ 2.9 วันในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ในช่วง 3 ปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 54%-56% มาจากผู้ ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ในด้านสัดส่วนของรายได้นั้น รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคงระดับอยู่ที่ 35%-36% ของรายได้ รวมในช่วงปี 2550 ถึงช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553
โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามลำดับในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากเงินทุนจากการดำเนินงานแข็งแกร่ง ขึ้นและค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนลดลงในช่วงปี 2551-2552 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนลดลงจากระดับ 54.5% ในปี 2549 มาอยู่ที่ 45.4% ในปี 2552 และ 43.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อม ราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้นจาก 7.06 เท่าในปี 2549 เป็น 8.19 เท่าในปี 2552 และ 9.93 เท่าใน ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในสกุลเงินบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีความเสี่ยง ในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทค่อนข้างแน่นอนและใกล้เคียงกับผู้ประกอบการ รายอื่น โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมคงตัวอยู่ที่ระดับ 22%-23% ใน ช่วงระหว่างปี 2549 ถึง 9 เดือนแรกของปี 2553
หลังการรวมกิจการกับบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์คเข้ามาคาดว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทจะแข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่อัตรา ส่วนทางการเงินในส่วนของการทำกำไรไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้จากการขาย จะคงอยู่ที่ระดับเดิมเนื่องจากอัตราการทำกำไรของโรงพยาบาลภายใต้ตราสัญลักษณ์โรงพยาบาลพญาไทและเปาโลอยู่ในระดับใกล้ เคียงกับโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพอยู่แล้ว สินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ของบริษัทจะทำให้อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงิน ทุนถาวรมีระดับต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง สำหรับอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนนั้นคาดว่าคงไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากระดับปัจจุบันเนื่องจากการรวมกิจการกับบริษัทเฮลท์ เน็ตเวิร์คกระทำโดยวิธีการแลกหุ้น นอกจากนี้ เงินลงทุนในหุ้นบริษัทโรง พยาบาลบำรุงราษฎร์ยังมาจากเงินทุนจากการดำเนินงาน ดังนั้นจึงคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะต่ำ กว่า 50% ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html