ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร “บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)” ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday March 22, 2011 07:20 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)

จำกัด ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยบริษัทเป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้น

100% โดย DBS Vickers Securities Holdings Pte., Ltd. (DBSVSH) ซึ่งเป็นสมาชิกในกลุ่มธนาคารดีบีเอสใน

ประเทศสิงคโปร์ อันดับเครดิตของบริษัทมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตโดยเฉพาะของบริษัทในฐานะเป็นบริษัท

ย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนาคารดีบีเอสซึ่งให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและอื่น ๆ แก่บริษัท ทั้งนี้ อันดับเครดิต

เฉพาะของบริษัทขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและทรัพยากรของกลุ่มธนาคารดีบีเอส อย่างไร

ก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และความผันผวนของตลาด

หลักทรัพย์ไทย นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงความไม่แน่นอนของธุรกิจหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์

อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 ด้วย

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่กลับมาเพิ่มขึ้นและการมีผล ประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่าน โดยทริสเรทติ้งจะติดตามสถานะทางการตลาดและผลประกอบการของ บริษัทอย่างใกล้ชิดหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เต็มรูปแบบในปี 2555 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดหมายว่าบริษัทจะยังคง ฐานะการเป็นบริษัทที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของกลุ่มธนาคารดีบีเอส อีกทั้งจะยังมีบทบาทในธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทยใน ฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายระดับสากลของกลุ่มธนาคารดีบีเอส และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มธนาคารดีบีเอสต่อไป

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นหลักโดย มีธุรกิจอื่น ๆ สนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงิน ธุรกิจจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และธุรกิจที่ ปรึกษาทางการเงินสำหรับลูกค้าที่มีความมั่งคั่งทางการเงิน ในช่วงปี 2544-2553 บริษัทมีรายได้หลักจากธุรกิจนายหน้าซื้อขาย หลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ 86% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้จากบริการอื่นมีสัดส่วนประมาณ 10% ในปี 2553 ซึ่ง ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 6.5% รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจลดลง อย่างมาก โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการลดลงเหลือเพียง 6 ล้านบาทในปี 2553 จากที่เคยได้รับประมาณ 29 ล้าน บาทในปี 2551 และ 9 ล้านบาทในปี 2552 ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะยังมีรายได้จากธุรกรรมใน ส่วนนี้ไม่มาก สำหรับกำไรหรือขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์นั้นคาดว่าจะมีสัดส่วนที่น้อยมากเนื่องจากบริษัทได้หยุดธุรกรรมการ ค้าหลักทรัพย์มาระยะหนึ่งแล้ว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2553 ที่ผ่านมา ส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของ บล. ดีบี เอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% และปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554 เป็น 2.61% จาก 2% ในปี 2552 สถานะทางการตลาดของบริษัทจัดอยู่ในอันดับที่ 17 จากจำนวนผู้ประกอบการทั้งหมด 35 ราย เพิ่ม จากอันดับที่ 21 เมื่อปี 2552 หากบรรยากาศการลงทุนเอื้ออำนวยต่อกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ บริษัทก็น่าจะสามารถรักษาสถานะ ทางการตลาดเอาไว้ได้เนื่องจากได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่มธนาคารดีบีเอส ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขาย จากลูกค้าของกลุ่มธนาคารดีบีเอสคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 36%-50% ของมูลค่าการซื้อขายต่อปีของบริษัท ในปีที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ รับผลกระทบจากการคิดค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดเช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์อื่นเนื่องจากอัตราค่านายหน้าซื้อขาย หลักทรัพย์ที่ลดลงนั้นได้รับการชดเชยในสัดส่วนที่มากกว่าจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 60% ในปี 2553 โดยมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยรายวันของทั้งตลาดหลักทรัพย์รวมกับตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เพิ่มขึ้น อย่างมากเป็นวันละ 29.07 พันล้านบาทในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 32.17 พันล้านบาทในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2554 จากเดิมวันละ 16.12 พันล้านบาทในปี 2551 และ 18.23 พันล้านบาทในปี 2552 อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าหลังการ เปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จะเกิดการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นอันอาจทำให้รายได้จากการซื้อ ขายหลักทรัพย์ลดลง

กำไรสุทธิของบริษัทค่อย ๆ ลดลงจาก 209 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 172 ล้านบาทในปี 2549 และ 132 ล้าน บาทในปี 2550 สืบเนื่องจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในปี 2551 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาทเนื่องจากประสบผลขาดทุนจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะ ตลาดหลักทรัพย์ที่ตกต่ำในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิในปี 2552 จำนวน 34.13 ล้านบาท และ 79.02 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนที่ดีขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2552 อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจจำ เป็นต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมหากมูลค่าตามราคาตลาดของหลักประกันยังคงลดลง โดยในปี 2552 และ 2553 มีการ ตั้งสำรองไว้แล้วคิดเป็นมูลค่า 519 ล้านบาท และ 563 ล้านบาท ตามลำดับ บริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ระหว่าง 1.6-1.9 พันล้าน บาทในช่วงปี 2548-2552 ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.4 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายหลัก ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ปริมาณสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์คงค้างในปี 2553 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 875 ล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 554 ล้านบาทในปี 2551 จากการมีปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์คงค้างคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 36.4% ของสินทรัพย์รวม ณ สิ้นปี 2553 อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายจะขยายสินเชื่อดังกล่าวในระยะกลางเมื่อมีโอกาส การ ขยายสินเชื่อควบคู่กับมาตรการในการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นน่าจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากธุรกรรมนี้ได้

บริษัทมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างต่ำจากการลงทุน โดยมีเพียงการลงทุนสมทบในหุ้นสามัญจำนวน 9 ล้านบาทเพื่อการจัด ตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมลงทุนภาคบังคับสำหรับสถาบันการเงิน โดยในขณะนั้นบริษัทยังคงมี สภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงินอยู่ในเกณฑ์ที่เพียงพอ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 บริษัทใช้วงเงินกู้ไปประมาณ 0.04% จากวงเงินทั้งสิ้น 2.5 พันล้านบาทจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ในประเทศ ในขณะที่เงินกู้ส่วนใหญ่ของบริษัทมาจากการกู้ยืมบริษัท แม่ซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ด้อยสิทธิมูลค่าประมาณ 8 ล้านเหรียญสิงค์โปร์และเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 5 ล้านเหรียญสิงค์โปร์ บริษัท กำลังอยู่ในขั้นตอนการลงนามในสัญญาเงินกู้ด้อยสิทธิวงเงิน 17 ล้านเหรียญสิงค์โปร์เพิ่มเติมจากบริษัทแม่เพื่อใช้ในการดำเนิน ธุรกิจที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับของหน่วยงานกำกับดูแล โดยบริษัทยังคงมีทุนที่เพียงพอสำหรับการประกอบธุรกิจแม้ว่าส่วน ของผู้ถือหุ้นจะลดลงจาก 1.007 พันล้านบาทในปี 2552 เหลือ 879 ล้านบาทในปี 2553 ก็ตาม บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุน สภาพคล่องสุทธิ (Net Capital Rule) ณ เดือนธันวาคม 2553 อยู่ที่ 59.23% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 7% ที่กำหนดโดยสำนักงาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSVT)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่) จาก Negative (ลบ)
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บ
ไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่า
ในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอ
แนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือ
ของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะ
อื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิ
ได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควร
ประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิต
นี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ
หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่
ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการ
กระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน
Website: http://www.trisrating.com/th/rating_information/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ