บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถด้วยผลงานที่ได้รับการยอมรับ ตลอดจนฐานะทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องที่เพียงพอ และรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจจัดการกองทุน อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการทางการเงินที่ดีขึ้นในปี 2553 อันเนื่องมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งจากความไม่แน่นอนของตลาดหลักทรัพย์และความเสี่ยงทางการตลาดที่ไม่อาจคาดเดาได้จากการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดจากความเสี่ยงด้านนโยบายการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2555 ด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารกองทุนของ บลจ. วรรณ ได้ต่อไปแม้ว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้ด้วย โดยคาดว่าการขยายธุรกิจจะกระทำได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ แนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 จะไม่ส่งผลกระทบในเชิงลบที่รุนแรงและฉับพลันต่อธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยรวม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 1 ในบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ในตลาดทั้งสิ้น 34 แห่ง โดยเพิ่มขึ้นจาก 8,059 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2552 เป็น 11,172 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2553 และ 13,434 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของสินทรัพย์มีสาเหตุหลักมาจากการลงทุนในหลักทรัพย์และเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น โดยการลงทุนในหลักทรัพย์บางส่วนเป็นการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงจากการขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญ อย่างไรก็ตาม เกือบ 90% ของการลงทุนของบริษัทเป็นหลักทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง อาทิ พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้บริการครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ วาณิชธนกิจ ตลอดจนธุรกิจการค้าและการลงทุนในหลักทรัพย์ บริษัทยังให้บริการบริหารกองทุนผ่านทางบริษัทลูกที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 98% คือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด ด้วย บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2551 ถึงเดือนเมษายน 2554 โดยเพิ่มขึ้นจาก 3.8% ในปี 2551 (อันดับที่ 11) เป็น 4.7% ในปี 2553 (อันดับที่ 4) และ 5.2% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2554 (อันดับที่ 2) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทั้งที่เป็นสัญญา Futures และ Options โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 5.6% ในปี 2553 ด้วย
ในส่วนของธุรกิจวาณิชธนกิจนั้นบริษัทยังไม่สามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมที่มากพอ อย่างไรก็ตาม บลจ. วรรณ ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังคงสร้างรายได้ในระดับที่ดีและสม่ำเสมอ โดยรายได้จากธุรกิจจัดการกองทุนคิดเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อรายได้รวมของบริษัทในสัดส่วน 14% ในปี 2552 และ 8% ในปี 2553
บริษัทยังคงมีการลงทุนในหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รวมของบริษัท (17% ในปี 2553 ลดลงจาก 32% ในปี 2550) การลงทุนในหลักทรัพย์นอกจากจะสร้างรายได้ในรูปของกำไรจากเงินลงทุน ดอกเบี้ย และเงินปันผลแล้ว บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนบางส่วนด้วยการออกผลิตภัณฑ์ตราสารอนุพันธ์ชนิดใหม่ ๆ รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหลักทรัพย์ดังกล่าวก็ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงทางการตลาดเพิ่มขึ้นด้วย
บริษัทเป็นผู้นำในการริเริ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดทุน โดยในเดือนมิถุนายน 2552 ได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญเป็นครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์และสถานะทางการตลาดให้แก่บริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขายใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญได้อีกหลายชุดในระหว่างครึ่งหลังของปี 2552 และตลอดปี 2553 ณ เดือนธันวาคม 2553 ยอดคงค้างของใบสำคัญแสดงสิทธิ์อนุพันธ์ในหุ้นสามัญที่จดทะเบียนมีมูลค่าถึง 2,112 ล้านบาท ซึ่ง 37% เป็นตราสารที่ออกโดยบริษัท
ผลจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ฟื้นตัวทำให้ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์รายวันโดยเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 16,118 ล้านบาทในปี 2551 เป็น 18,226 ล้านบาทในปี 2552 และ 29,066 ล้านบาทปี 2553 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการประกาศบังคับใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันได โดยนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อขายหลักทรัพย์สามารถ
ต่อรองค่าธรรมเนียมอย่างเสรีในส่วนของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันซึ่งเกิน 20 ล้านบาท ในปี 2553 อัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยของบริษัทอยู่ในระดับ 0.146% ซึ่งลดลงจากระดับ 0.228% ในปี 2552 แม้ว่าการแข่งขันระหว่างนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์จะรุนแรงและมีการใช้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบขั้นบันไดในปี 2553 ก็ตาม แต่รายได้ค่าธรรมเนียมจากการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 839 ล้านบาทในปี 2553 จาก 571 ล้านบาทในปี 2552
บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 752 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจาก 242 ล้านบาทในปี 2552 ส่วนกำไรสุทธิในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 มีจำนวน 112 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ในระดับ 47% ในปี 2553 ลดลงจาก 63% ในปี 2552 ในแง่ของอัตราการก่อหนี้นั้น บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.23 เท่าในปี 2553 เพิ่มขึ้นจาก 1.78 เท่าในปี 2552 เนื่องจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของสินทรัพย์รวมในปี 2553 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารที่เพียงพอต่อการขยายธุรกิจได้ในอนาคตหากมีความจำเป็น ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB+ แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ rapee@tris.co.th โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html