บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในประเทศไทย รวมถึงการมีเครือข่ายกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง และฐานลูกค้าที่กระจายทั่วประเทศ การพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้จัดหาก๊าซ LPG น้อยราย ตลอดจนความไม่แน่นอนของกฎระเบียบ และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่เพิ่มขึ้นจากการที่บริษัทมีสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ระหว่างประเทศที่สูงขึ้นด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะในการเป็นผู้ค้าก๊าซ LPG รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการเงินและสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินธุรกิจค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2544 โดยกลุ่มตระกูลวีรบวรพงศ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2551 โดย ณ เดือนมีนาคม 2554 กลุ่มตระกูล
วีรบวรพงศ์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของบริษัทในสัดส่วน 66.7% บริษัทเป็นผู้ค้าก๊าซ LPG รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทย โดยการดำเนินธุรกิจในประเทศของบริษัทประกอบด้วยการค้าก๊าซ LPG ภายใต้ตราสัญลักษณ์ “สยามแก๊ส” และ “ยูนิคแก๊ส” ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2553 ที่ระดับ 29.9% รองจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ส่วนแบ่งทางการตลาด 40.4%) นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจค้าก๊าซแอมโมเนีย และสินค้าปิโตรเคมีอื่น ๆ ด้วย บริษัทมีโครงข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศที่แข็งแกร่ง โดย ณ เดือนธันวาคม 2553 มีคลังเก็บก๊าซ LPG จำนวน 7 แห่ง โรงบรรจุก๊าซ LPG จำนวน 179 แห่ง และสถานีบริการก๊าซ LPG สำหรับยานยนต์จำนวน 414 สถานี นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบขนส่งก๊าซที่หลากหลาย รวมทั้งให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลเพื่อสนับสนุนธุรกิจค้าก๊าซ LPG ของบริษัทด้วย
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ มีปริมาณการค้าก๊าซ LPG โดยเฉลี่ย 1 ล้านตันต่อปี โดยแบ่งเป็นการค้าก๊าซ LPG สำหรับกลุ่มครัวเรือน 60.7% สำหรับกลุ่มยานยนต์ 30.0% และสำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม 9.3% ปริมาณการค้าก๊าซ LPG ของบริษัทประมาณ 9% อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำหรับการค้าก๊าซ LPG ในประเทศ โดยอาจมีการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG สำหรับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเพื่อลดภาระของกองทุนน้ำมัน ทั้งนี้ คาดว่าการปรับขึ้นราคาดังกล่าวจะส่งผลให้ปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงในระยะปานกลางเนื่องจากลูกค้าจะมีการปรับเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นแทน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันเตา อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนดังกล่าวต้องใช้เวลาพอสมควรเนื่องจากลูกค้าต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถรองรับเชื้อเพลิงชนิดใหม่ที่ใช้ทดแทนก๊าซ LPG
ในปี 2553 บริษัทขยายธุรกิจค้าก๊าซ LPG ไปยังหลายประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน เวียดนาม และสิงค์โปร์ โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2554 สัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศคิดเป็น 26.3% ของปริมาณการค้าก๊าซ LPG ทั้งหมดของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศให้อยู่ในระดับ 50% ของยอดขายรวมภายในปี 2557 โดยภายหลังจากการซื้อหุ้น 100% ใน BP Zhuhai LPG Co., Ltd. มูลค่า 101 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนธันวาคม 2553 แล้ว บริษัทจะใช้คลังเก็บก๊าซ LPG ในประเทศจีนเป็นฐานสำหรับการค้าก๊าซทั้งในประเทศจีนและประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้ว่าการซื้อกิจการในต่างประเทศจะเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจ แต่บริษัทก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจของประเทศนั้น ๆ รวมถึงความผันผวนของราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก ดังนั้นความสามารถของคณะผู้บริหารในการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ เหล่านี้จึงยังต้องการเวลาในการพิสูจน์
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงผลการดำเนินงานของบริษัทสยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ว่าเป็นที่น่าพอใจมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเนื่องจากการขยายการลงทุนอย่างรวดเร็วในปี 2553 ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 บริษัทมีปริมาณการขายก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น 31.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 58.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการค้าก๊าซ LPG ในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 6.2% ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 จาก 9.5% ในปี 2553 เนื่องจากอัตรากำไรที่ลดลงของก๊าซ LPG สำหรับกลุ่มยานยนต์ ประกอบกับการมีค่าใช้จ่ายสำหรับกิจการในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น การซื้อกิจการในช่วงปี 2553 ส่งผลให้บริษัทมีเงินกู้รวมเพิ่มเป็น 6,804 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นเป็น 51.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากการลงทุนในโครงการต่างประเทศสร้างผลตอบแทนให้แก่บริษัทอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย — จบ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ rapee@tris.co.th โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html