ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “ธ. ทหารไทย”: องค์กรที่ “A+”, หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ “A”, หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday July 7, 2011 13:07 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารที่ระดับ “A” และ “BBB+” ตามลำดับ โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหารและการได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร ส่วน ING Bank N.V. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ของธนาคารนั้นก็เข้ามามีบทบาทในการบริหารงานและช่วยเสริมสร้างสถานะทางการเงินและการดำเนินงานของธนาคารให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ธนาคารได้รับประโยชน์จาก ING Bank ด้านความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารความเสี่ยง รวมถึงจุดแข็งในธุรกิจธนาคารเพื่อรายย่อย ธุรกิจประกันภัย และธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธนาคารในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารยังมีเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับผลขาดทุนที่มิอาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงไปจากการมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระดับค่อนข้างสูง ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างอ่อนแอ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและภาวะการเงินทั่วโลก โดยปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดโอกาสในการขยายธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าธนาคารจะสามารถปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรและประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดีขึ้นได้ในระยะปานกลาง การสนับสนุนจาก ING Bank คาดว่าจะช่วยเสริมสร้างระบบและวิธีปฏิบัติในการบริหารความเสี่ยงให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนสร้างรายได้ที่แน่นอนให้แก่ธนาคารในระยะปานกลาง ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอยู่บนพื้นฐานความคาดหมายที่การบังคับใช้พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลในเดือนสิงหาคม 2554 นี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงโดยทันทีต่อระบบธนาคารพาณิชย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารทหารไทย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ประกอบด้วยกลุ่ม ING Bank และกระทรวงการคลังซึ่งถือหุ้นในสัดส่วน 30.1% และ 26.1% ของหุ้นทั้งหมดตามลำดับ คณะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารได้รับการแต่งตั้งและเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 โดยเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นที่รู้จักอย่างดีในวงการธนาคารและมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารระดับอาวุโสจากธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มาก่อน ธนาคารประสบความสำเร็จในการวางรากฐานที่มั่นคงในช่วงปี 2551-2552 เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในอนาคต และอยู่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ 2 ระหว่างปี 2553-2554 ซึ่งเน้นการสนองความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) โดยการสร้างความแตกต่างและการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยการให้บริการและการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้หลากหลาย การปรับปรุงเครือข่ายสาขา และการสร้างการรับรู้ในตราสัญลักษณ์ของธนาคารให้มากขึ้น ทั้งนี้ คณะผู้บริหารยังคงเผชิญกับความท้าทายในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ การขยายฐานสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ และการรักษาฐานเงินทุนให้มั่นคงท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจธนาคารที่ยังคงไม่แน่นอนในอนาคต

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 7 ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของเงินให้สินเชื่อ 5.5% และเงินรับฝาก 6.5% สินทรัพย์ของธนาคารตามงบการเงินรวมมีจำนวน 638.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จาก 589.2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 ธนาคารมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นโดยมีกำไรสุทธิในปี 2553 จำนวน 3,202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.6% จาก 1,945 ล้านบาทในปี 2552 เป็นผลจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ธนาคารมีผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2554 โดยมีกำไรสุทธิ 1,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จาก 789 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของทั้งรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมถึงสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ถัวเฉลี่ยและผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสำหรับปี 2553 เท่ากับ 0.57% และ 6.63% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 0.34% และ 4.24% ในปี 2552 อัตราส่วนเหล่านี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในงวด 3 เดือนแรกของปี 2554 โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 0.18% และ 2.2% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.14% และ 1.67%

ธนาคารดำเนินการแก้ไขสินเชื่อด้อยคุณภาพตามแผนกลยุทธ์โดยการจำหน่ายและตัดจำหน่ายหนี้เสียออกจากบัญชีเพื่อให้สินทรัพย์มีคุณภาพดีขึ้น ในปี 2553 ธนาคารขาย NPL จำนวน 9.4 พันล้านบาทให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2553 ธนาคารมี NPL คงเหลือจำนวน 36 พันล้านบาท (หรือ 9.91% ของเงินให้สินเชื่อรวม) ลดลงจาก 54.1 พันล้านบาท (หรือ 14.66% ของเงินให้สินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2552 แต่อัตราส่วน NPL ของธนาคารยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.79% จากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง (ไม่รวมธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 ธนาคารมี NPL ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดคงเหลือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 จำนวน 34.7 พันล้านบาท (หรือ 9.15% ของเงินให้สินเชื่อรวม) จากความพยายามในการแก้ไขปัญหา NPL ของธนาคาร ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เงินให้สินเชื่อจัดชั้นค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน เงินให้สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และทรัพย์สินรอการขาย) ต่อสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 เท่ากับ 6.86% ลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 7.84% และ 12.76% ณ สิ้นปี 2553 และ 2552 ตามลำดับ ธนาคารมีเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งเพียงพอเมื่อเทียบกับหนี้เสีย โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 มีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้คิดเป็น 0.51 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ลดลงจาก 0.73 เท่าในปี 2552 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.58 เท่า

ในส่วนของแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องนั้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างแหล่งเงินทุน โดยมีผลทำให้ฐานเงินทุนในปัจจุบันของธนาคารมีการกระจายตัวที่ดี อีกทั้งยังมีต้นทุนต่ำ และมีความมั่นคงยิ่งขึ้น สัดส่วนของเงินรับฝากในบัญชีกระแสรายวันและบัญชีออมทรัพย์ต่อเงินรับฝากทั้งสิ้นของธนาคารเพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2551 เป็น 50% ในปี 2552 และ 49% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 โดยเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 7 แห่ง

ในส่วนของฐานเงินทุน ธนาคารมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งเพื่อใช้ขยายธุรกิจและรองรับความสูญเสียที่มิอาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานในระยะปานกลาง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเท่ากับ 16.42% ลดลงเล็กน้อยจาก 16.59% ในปี 2553 และ 17.13% ในปี 2552 เนื่องจากปริมาณสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อ อย่างไรก็ตามอัตราส่วนดังกล่าวยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 14.96% และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% ซึ่งกำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                                        คงเดิมที่ A+
อันดับเครดิตองค์กร:
TMB19NA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 5,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562	                     คงเดิมที่ A
TMB204A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563                           คงเดิมที่ A
TMB09PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2652 	คงเดิมที่ BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                                         Stable (คงที่)
หมายเหตุ:  ธนาคารทหารไทยถือหุ้น 15.30% ใน บริษัท ทริสคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้น 99.99% ในทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ