ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “ธ. กรุงศรีอยุธยา”:องค์กรที่ “AA-” หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ “A+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Thursday July 21, 2011 09:03 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดในธุรกิจหลักของธนาคาร ตลอดจนฐานะการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจ (Franchise Value) ที่เติบโตขึ้นด้วย อันดับเครดิตยังได้รับแรงเสริมจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของ GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของธนาคารในสัดส่วน 33% อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการที่ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) ในระดับสูง รวมถึงภาวะการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ทวีความรุนแรง ตลอดจนความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์ทางการเงินทั่วโลกอันอาจจำกัดความสามารถในการขยายธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาฐานะทางการเงินเอาไว้ได้และปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง อีกทั้งยังคาดว่าธนาคารจะยังคงได้ประโยชน์จากการประสานจุดแข็งทางธุรกิจกับกลุ่ม GE ในการเพิ่มสินเชื่อที่สร้างกำไรและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจในระยะยาวแก่ธนาคาร ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอยู่บนพื้นฐานความคาดหมายที่การบังคับใช้พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลในเดือนสิงหาคม 2554 นี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงโดยทันทีต่อระบบธนาคารพาณิชย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 5 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดด้านสินทรัพย์ 8.6% เงินให้สินเชื่อ 9.5% และเงินรับฝาก 8.5% ธนาคารมีสินทรัพย์ตามงบการเงินรวมจำนวน 870.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จาก 821.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 กลยุทธ์การใช้จุดแข็งของกลุ่ม GE ซึ่งมีความชำนาญในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย (Retail Banking) ช่วยให้ธนาคารสามารถเติบโตได้ในช่วงระหว่างปี 2551-2553 ทั้งจากการขยายตัวแบบปกติตามลักษณะธุรกิจของธนาคาร (Organic Growth) และขยายตัวผ่านการซื้อกิจการ การซื้อกิจการดังกล่าวสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดให้แก่ธนาคารในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยและธุรกิจบัตรเครดิต ทำให้เกิดการกระจายตัวของสินเชื่อโดยการมีสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงเพิ่มมากขึ้น (สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล) ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารมีสินเชื่อเพื่อรายย่อยคิดเป็นสัดส่วน 44% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2550 ในขณะที่สัดส่วนของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ลดลงจาก 34% เป็น 28% และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลงจาก 44% มาอยู่ที่ 28% ปัจจุบันธนาคารเป็นผู้ประกอบการธุรกิจบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วรายใหญ่ที่สุดด้วย

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับการถ่ายทอดความรู้และระบบปฎิบัติงานจากกลุ่ม GE หลังจากที่กลุ่ม GE เข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ โดยได้มีการปรับปรุงองค์กรในช่วงระหว่างปี 2550-2552 ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อสร้างประโยชน์สูงสุด (Optimization) และเร่งขยายธุรกิจ (Acceleration) ระหว่างปี 2553-2555 โดยมุ่งเน้นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกันและระบบสนับสนุนที่ซ้ำซ้อนในกลุ่มธนาคารเข้าด้วยกัน (Integration) รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพในการเสนอบริการข้ามสายผลิตภัณฑ์ (Cross-selling) โดยคาดว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจของธนาคารได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม คณะผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ และการสร้างการเติบโตในสินทรัพย์ที่จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและกฎเกณฑ์ของทางการที่ยังไม่มีความแน่นอนในอนาคต

ธนาคารมีฐานะทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2553 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2554 โดยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 2553 จำนวน 8,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากปี 2552 ซึ่งมีจำนวน 6,659 ล้านบาท กำไรสุทธิของธนาคารในไตรมาสแรกของปี 2554 เท่ากับ 2,808 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของสินทรัพย์ที่สร้างผลกำไรดี รวมถึงการลดต้นทุนของธนาคาร อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ROAA) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (ROAE) ในปี 2553 เท่ากับ 1.07% และ 9.17% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 0.87% และ 7.44% ในปี 2552 อัตราส่วนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 0.32% และ 2.82% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2553 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.26% และ 2.21%

ทางด้านคุณภาพของสินทรัพย์ ทริสเรทติ้งกล่าวว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยามีระบบการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารดีขึ้น ธนาคารประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่คงค้างมานาน สะท้อนจากปริมาณ NPLที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณ NPL ณ สิ้นปี 2553 เท่ากับ 38.1 พันล้านบาท (หรือ 5.86% ของเงินให้สินเชื่อรวม) ลดลงจาก 52.1 พันล้านบาท (หรือ 8.6% ของเงินให้สินเชื่อรวม) ณ สิ้นปี 2552 อันเป็นผลจากการจำหน่าย NPL ให้แก่บุคคลภายนอกประมาณ 12.7 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน NPL ในปี 2553 ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้งซึ่งอยู่ที่ระดับ 4.79% (ไม่รวมธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) และธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)) ธนาคารยังคงมี NPL ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 1 ของปี 2554 โดยมี NPL คงเหลือ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 จำนวน 36.5 พันล้านบาท (หรือ 5.52% ของเงินให้สินเชื่อรวม) ในขณะเดียวกัน NPA ของธนาคาร (เงินให้สินเชื่อจัดชั้นค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน เงินให้สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และ

สินทรัพย์รอการขาย) ก็ลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอันเป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของธนาคารที่จะลด NPA ลง อัตราส่วน NPA ต่อสินทรัพย์รวม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 อยู่ที่ระดับ 9.4% ลดลงอย่างต่อเนื่องจากสิ้นปี 2550 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 23.96% แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 7.52% นอกจากนี้ ธนาคารยังมีเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพียงพอที่จะรองรับการเสื่อมค่าของคุณภาพสินทรัพย์ด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารมี NPA คิดเป็น 0.58 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งลดลงจาก 1.00 เท่า ณ สิ้นปี 2552 และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.58 เท่า

ในส่วนของแหล่งเงินทุนนั้น ธนาคารมีแหล่งเงินทุนที่มีการกระจายตัวดีและสอดคล้องกับโครงสร้างของสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารมากขึ้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารมีเงินทุนรวมทั้งสิ้น 823.7 พันล้านบาท โดยเป็นเงินรับฝาก 70% เงินกู้ยืมจากสาธารณะ (ทั้งการออกหุ้นกู้และตั๋วแลกเงิน) 14% ส่วนของผู้ถือหุ้น 12% และเงินกู้ยืมจากตลาดเงินระหว่างธนาคาร 4% สำหรับเงินรับฝากของธนาคาร ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ในส่วนที่เป็นเงินฝากประเภทกระแสรายวันและออมทรัพย์นั้นมีสัดส่วน 41% เพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2552 ในขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นเงินฝากประจำอัตราดอกเบี้ยคงที่

ธนาคารมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งเพื่อใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจและรองรับความสูญเสียที่มิอาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมในการประกอบธุรกิจในระยะปานกลาง อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารลดลงเล็กน้อยจาก 11.87% ณ สิ้นปี 2552 เป็น 11.48% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อเป็นประการสำคัญ อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระดับที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม คือเท่ากับ 16.79% โดยเพิ่มขึ้นจาก 14.15% ในปี 2552 และ 15.84% ในปี 2553 รวมทั้งยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 14.96% ด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                    คงเดิมที่ AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BAY206A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 20,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563	คงเดิมที่ A+
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                    Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ