ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ปัจจุบัน และจัดอันดับหุ้นกู้ใหม่ “บ. โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา” ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable” จาก “Negative”

ข่าวทั่วไป Thursday July 28, 2011 13:11 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาทที่ระดับ “A-” เช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตเปลี่ยนเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนการมีแหล่งกระแสเงินสดที่กระจายตัวทั้งจากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน รวมทั้งสถานะผู้นำในธุรกิจอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมที่มีความหลากหลายด้วยสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบได้ง่ายจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้หลายประการ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมทั้ง 2 ประเภทจัดว่ามีการแข่งขันที่รุนแรงเมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ของจำนวนห้องพักที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการทำการตลาดเชิงรุกในหมู่ผู้ประกอบการอาหารบริการด่วน ผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2553 เนื่องจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่สงบลง อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทยังถือว่าอยู่ในระดับสูงซึ่งสืบเนื่องมาจากการขยายธุรกิจโรงแรมในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเป็นสำคัญ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากโรงแรมหลายแห่งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ซึ่งจะทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะแข็งแกร่งขึ้นโดยบริษัทจะต้องดำรงสัดส่วนภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินกว่า 3.5 เท่าให้ได้

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทบริหารโรงแรมจำนวน 31 แห่งในประเทศและ 6 แห่งในต่างประเทศ ด้วยจำนวนห้องพักกว่า 5,800 ห้อง โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของมีทั้งสิ้น 14 แห่ง โดย 4 แห่งเป็นเจ้าของในลักษณะของการร่วมทุน ทั้งนี้ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของคิดเป็นสัดส่วน 61% ของจำนวนห้องทั้งหมด บริษัทบริหารงานโรงแรมภายใต้แบรนด์ “เซ็นทารา” ยกเว้นโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์รีสอร์ทแอนด์วิลล่าหัวหินที่บริหารโดย Accor International นอกจากนี้ บริษัทยังบริหารงานโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ และโรงแรมโนโวเทล เซ็นทารา หาดใหญ่ ภายใต้แฟรนไชส์ของกลุ่ม Accor ด้วย บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ซึ่งเปิดบริการขายอาหารภายใต้แฟรนไชส์จากต่างประเทศหลากหลายแบรนด์ เช่น “เคเอฟซี” “มิสเตอร์โดนัท” “อานตี้ แอนส์” “เป็ปเปอร์ลันช์” “เบรดปาปา” “ชาบูตง” “โคลด์ สโตน ครีเมอรี” และ “คาเฟ่ อันโดนัน” รวมทั้ง แบรนด์ของบริษัทเองคือ “ริว ชาบู ชาบู” ด้วยจำนวนสาขารวมทั้งหมด 512 แห่งทั่วประเทศ ณ เดือนมีนาคม 2554 โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจอาหารคิดเป็นสัดส่วน 54%-60% ของรายได้รวมทั้งหมด ในขณะที่รายได้ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ความวุ่นวายของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ได้ลดความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ทำให้ความต้องการห้องพักลดลง โดยที่อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทลดลงจาก 60.7% ในปี 2552 เป็น 58.1% ในปี 2553 ในขณะที่อัตราการเข้าพักโรงแรมของประเทศไทยอยู่ที่ 50.2% ในปี 2553 ส่วนอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ของบริษัท (Revenue Per Available Room -- RevPAR) โดยเฉลี่ยลดลงถึง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปลายปี 2553 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2554 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองสงบลงและหลายประเทศได้ยกเลิกการเตือนภัยในการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้น 8.4% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 และเพิ่มขึ้น 14.5% ในไตรมาสแรกของปี 2554 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในไตรมาสแรกของปี 2554 อัตราการเข้าพักโรงแรมของบริษัทก็กลับสู่ระดับ 70.6% และอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่โดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นถึง 10% สู่ระดับ 3,155 บาทต่อวัน

แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปี 2553 จะอ่อนตัวลง แต่รายได้ของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 11% สู่ระดับ 9,141 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มขึ้นถึง 16% ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น 6% จากการเปิดให้บริการเต็มปีของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ มิราจ บีชรีสอร์ท พัทยา รายได้รวมของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 เพิ่มขึ้นถึง 18% สู่ระดับ 2,914 ล้านบาทเนื่องจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงการเปิดให้บริการโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บีชรีสอร์ท ภูเก็ต และการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจอาหารบริการด่วน อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 15.0% ในปี 2552 เป็น 16.2% ในปี 2553 และปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากเป็น 25.2% ในไตรมาสแรกของปี 2554 เนื่องจากการประหยัดจากขนาดในธุรกิจอาหารและผลประกอบการที่ดีขึ้นของธุรกิจโรงแรม

สภาพคล่องของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 10.0% ในปี 2552 เป็น 10.8% ในปี 2553 และอยู่ที่ระดับ 6.4% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.9 เท่าในช่วงปี 2552-2553 เป็น 7.5 เท่าในช่วงไตรมาสแรกของปี 2554 โดยบริษัทคาดว่าผลประกอบการในปี 2554 จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องบรรยากาศทางการเมืองที่ดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง นอกจากนี้ โรงแรมหลายแห่งที่บริษัทปรับปรุงแล้วเสร็จคาดว่าจะเริ่มสร้างกำไรและกระแสเงินสดได้ในไม่ช้า

อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นสูงกว่าระดับ 60% ตั้งแต่ปี 2553 และคงอยู่ที่ระดับ 63% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 เนื่องจากบริษัทมีการขยายงานอย่างมากในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทใช้เงินทุนมากกว่า 10,000

ล้านบาทเพื่อลงทุนขยายโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง เช่น กรุงเทพฯ กระบี่ พัทยา ภูเก็ต และเกาะมัลดีฟ อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนจะลดลงเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนการลงทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ประมาณ 2,900 ล้านบาท ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) (CENTEL)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                     คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
CENTEL127A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555	         คงเดิมที่ A-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2559	  A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                                      Stable (คงที่) จาก “Negative (ลบ)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ