บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศงคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” พร้อมทั้งประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Developing” หรือ“ยังไม่ชัดเจน” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตของบริษัทเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 หลังจากบริษัทประกาศซื้อสินทรัพย์ใน
สหราชอาณาจักร ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดภายในประเทศของบริษัท ตลอดจนภาวะตลาดที่ผู้ผลิตภายในประเทศได้รับการปกป้องในรูปของโควต้าและอากร และการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นจากการซื้อสินทรัพย์ในโรงถลุงเหล็ก Teesside Cast Products (TCP) ในสหราชอาณาจักร ในขณะที่จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งผู้ประกอบการภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนลักษณะของอุตสาหกรรมเหล็กที่มีความผันแปรตามวงจร ราคาวัตถุดิบที่มีความผันผวน และภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากการซื้อ TCP
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าผลประกอบการของบริษัทในช่วงครึ่งหลังของปี 2554 จะปรับตัวดีขึ้นและบริษัทจะสามารถคงระดับเงินสดให้เพียงพอต่อการชำระหนี้ ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตอาจมีการปรับสถานะเพิ่มขึ้นหากโรงงานผลิตเหล็กของบริษัทเริ่มดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและบริษัทได้รับประโยชน์จากธุรกิจที่ครบวงจรเนื่องจากการมีโรงงานผลิตเหล็กเป็นของตนเองตามที่วางแผนไว้ ในทางตรงกันข้าม หากโครงสร้างทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงจากการที่โรงงานผลิตเหล็กไม่สามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ตามแผน หรือบริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีเป็นผู้นำการผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน (Hot Rolled Coil - HRC) ในประเทศ ปัจจุบันมีผู้ผลิตทั้งหมด 3 ราย ได้แก่ บริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี บริษัท จีสตีล จำกัด (มหาชน) และ บริษัท จีเจสตีล จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทเป็นผู้นำตลาดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและยอดขาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งบริษัทจีสตีลและบริษัทย่อยคือจีเจสตีลสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเนื่องจากปัญหาการเงิน ทั้งนี้ ในปี 2553 บริษัททั้ง 2 แห่งดังกล่าวมีปริมาณขายรวมกันประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายของบริษัท โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในปี 2553 อยู่ที่ 36% อย่างไรก็ตาม หากบริษัทจีสตีลและบริษัทจีเจเอสปรับโครงสร้างหนี้แล้วเสร็จและสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติในปี 2555 ก็จะส่งผลกระทบต่อส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทในอนาคต
กระบวนการผลิตของบริษัทแตกต่างจากโรงงานผลิตเหล็กแบบครบวงจรและโรงหลอมเหล็กขนาดเล็กโดยทั่วไปเนื่องจากบริษัทไม่ได้ผลิตเหล็ก แต่นำเหล็กแท่งแบนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished Slab) ไปผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นเหล็กแผ่นชนิดม้วน (Flat-rolled Coil) อย่างไรก็ตาม หลังจากซื้อ TCP สำเร็จในเดือนมีนาคม 2554 บริษัทจึงมีสถานะเป็นผู้ประกอบการเหล็กแบบครบวงจรด้วยกำลังการผลิตเหล็กแท่งแบนปีละ 3.6 ล้านตัน กระนั้น บริษัทก็ยังต้องนำเข้าเหล็กแท่งแบนเพื่อนำมาทำการรีดร้อนภายในประเทศอยู่ อย่างไรก็ตาม การลงทุนซื้อสินทรัพย์ในครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากบริษัทจะมีวัตถุดิบคือเหล็กแท่งแบนที่เพียงพอสำหรับการผลิต ซึ่งจะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงรีดให้มีมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มปริมาณการขาย และเพิ่มสัดส่วนการขายเหล็กคุณภาพสูง นอกจากนี้ การมีโรงงานผลิตเหล็กแท่งแบนเป็นของตนเองยังจะช่วยให้บริษัทสามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดีขึ้น ซึ่งจะลดความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานลง นอกจากนี้ สินแร่เหล็กและถ่านหินซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตก็มีราคาที่ผันผวนน้อยกว่าเหล็กแท่งแบนด้วย อย่างไรก็ตาม การมีโรงงานผลิตเหล็กทำให้บริษัทมีต้นทุนคงที่ที่สูงขึ้น ในส่วนของการผลิตเหล็กแท่งแบนนั้นบริษัทจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2554 ซึ่งล่าช้ากว่าแผนเดิมที่กำหนดไว้ 2 เดือน ทั้งนี้ โรงงานต้องเปิดดำเนินการอีกครั้งหลังจากหยุดผลิตไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2553 ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการลงทุนปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิต โดยบริษัทวางแผนลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,300 ล้านบาท) สำหรับช่วง 6 เดือนข้างหน้าหลังจากที่ได้ลงทุนไปแล้ว 684 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (20,487 ล้านบาท) ในการซื้อสินทรัพย์ของ TCP
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงสถานะทางการเงินของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีว่ามีความผันผวนอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งสะท้อนถึงความแปรปรวนของอุตสาหกรรมเหล็ก ในปี 2551 บริษัทรายงานผลขาดทุนจำนวนมากซึ่งเป็นผลมาจากราคาและการบริโภคเหล็กที่ลดลงอย่างมากจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผลประกอบการของบริษัทกระเตื้องขึ้นในปี 2552 จากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศและผู้ประกอบการภายในประเทศรายอื่นอ่อนแอลง ผลประกอบการของบริษัทฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2553 ทว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2554 บริษัทรายงานผลขาดทุนจำนวน 818 ล้านบาทซึ่งเกิดจากการที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายเตรียมการในโรงงานผลิตเหล็กในสหราชอาณาจักรจำนวนมาก นอกจากนี้ เหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 2554 ยังทำให้ความต้องการเหล็กแผ่นรีดร้อนในไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลงเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ได้รับผลกระทบ ในขณะที่การซื้อ TCP ทำให้ภาระหนี้ของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นกว่าเท่าตัวจาก 18,936 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2553 เป็น 37,250 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2554 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 48.78% ในปี 2553 เป็น 60.04% ณ เดือนมิถุนายน 2554 ทั้งนี้ คาดว่าภาระหนี้จะปรับเพิ่มขึ้นต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปีจากการที่บริษัทมีแผนลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 6,300 ล้านบาทเพื่อปรับปรุงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ TCP อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาระหนี้จะค่อย ๆ ปรับลดลงในระยะปานกลางจากการมีกระแสเงินสดที่จะได้รับจากการผลิตเหล็กแท่งแบนและผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเหล็กรีดร้อน
อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐในระดับหนึ่ง ผู้ประกอบการภายในประเทศจึงได้รับประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดของรัฐบาลซึ่งอยู่ระหว่าง 3.45%-128.11% สำหรับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากผู้ผลิต 14 ประเทศ กระนั้น ผู้ประกอบการภายในประเทศก็ได้รับผลกระทบในด้านลบจากการนำเข้าเหล็กราคาถูกใน
ปริมาณมากจากประเทศที่ไม่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดดังปรากฎให้เห็นในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 อย่างไรก็ตาม การที่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 กระทรวงพาณิชย์เรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดเพิ่มสำหรับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากประเทศจีนและมาเลเซียน่าจะทำให้แรงกดดันที่มีต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการภายในประเทศในครึ่งหลังของปี 2554 บรรเทาลง ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ rapee@tris.co.th โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html