บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็น "BBB" จากเดิมที่ "BBB-" โดยสะท้อนผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างรายได้ที่หลากหลาย สภาพคล่อง และฐานทุนที่เพียงพอของ บล. เคจีไอ รวมทั้งยังสะท้อนแนวโน้มที่ดีของตลาดหลักทรัพย์ซึ่งจะเกื้อหนุนให้บริษัทหลักทรัพย์เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และความเป็นไปได้ของการเปิดเสรีค่านายหน้าในปี 2548 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า การปรับโครงสร้างเงินทุนของ บล. เคจีไอ ที่เสร็จสิ้นในปี 2546 ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านโครงสร้างทางการเงินและทิศทางธุรกิจของบริษัท การปรับโครงสร้างดังกล่าวได้รวมถึงการขายหุ้นกู้ในต่างประเทศ การลดทุนและคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น และการล้างขาดทุนสะสม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้กระจายธุรกิจออกไปโดยการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศหลายแห่งผ่าน KGI Securities (Thailand) International Holdings Ltd. (HOLDCO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% การมีเงินทุนมากเกินความจำเป็นทำให้บริษัทตัดสินใจลดทุนจดทะเบียนลงจาก 17,332 ล้านบาทเป็น 12,999 ล้านบาท และคืนทุนดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 4,333 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ขายหุ้นกู้ในต่างประเทศที่ถือโดย HOLDCO และใช้เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้คืนทุนแก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนั้น บริษัทยังได้โอนส่วนเกินมูลค่าหุ้นและทุนสำรองทั้งหมดเพื่อล้างขาดทุนสะสมซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอนาคต
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ผลจากการปรับโครงสร้างเงินทุนทำให้ขนาดสินทรัพย์ของ บล. เคจีไอ ลดลงจาก 8,607 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2545 มาอยู่ที่ 5,624 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 สินทรัพย์หลักของบริษัทได้เปลี่ยนจากเงินลงทุนเป็นลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และเงินสด ส่วนโครงสร้างรายได้นั้น บริษัทไม่มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่เกิดจากการลงทุนในต่างประเทศเป็นจำนวนมากอีกต่อไป ทำให้บริษัทต้องพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายมากกว่าบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ซึ่งพึ่งพิงรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูง อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ที่สม่ำเสมอจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทกำลังขยายธุรกิจด้านวาณิชธนกิจซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ที่มากกว่านี้
บล. เคจีไอ มีผลกำไรทุกปีนับตั้งแต่ปี 2542 แม้แต่ในช่วงที่มีการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2543-2544 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2546 บริษัทมีผลกำไร 511 ล้านบาท เทียบกับ 456 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าภายหลังจากการคืนทุน อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้น และแม้ว่าบริษัทจะคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วก็ตาม แต่บริษัทก็ยังคงมีสภาพคล่องและฐานเงินทุนที่เพียงพอในการขยายธุรกิจต่อไป ธุรกิจของบริษัทจะได้รับแรงหนุนจากตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันจากบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายใหม่ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทลดลง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อาจส่งผลในด้านลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและของผู้ประกอบการอื่นๆ ในอนาคตด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า การปรับโครงสร้างเงินทุนของ บล. เคจีไอ ที่เสร็จสิ้นในปี 2546 ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านโครงสร้างทางการเงินและทิศทางธุรกิจของบริษัท การปรับโครงสร้างดังกล่าวได้รวมถึงการขายหุ้นกู้ในต่างประเทศ การลดทุนและคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น และการล้างขาดทุนสะสม ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้กระจายธุรกิจออกไปโดยการลงทุนในบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศหลายแห่งผ่าน KGI Securities (Thailand) International Holdings Ltd. (HOLDCO) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 100% การมีเงินทุนมากเกินความจำเป็นทำให้บริษัทตัดสินใจลดทุนจดทะเบียนลงจาก 17,332 ล้านบาทเป็น 12,999 ล้านบาท และคืนทุนดังกล่าวให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 4,333 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทได้ขายหุ้นกู้ในต่างประเทศที่ถือโดย HOLDCO และใช้เงินดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้คืนทุนแก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนั้น บริษัทยังได้โอนส่วนเกินมูลค่าหุ้นและทุนสำรองทั้งหมดเพื่อล้างขาดทุนสะสมซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในอนาคต
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ผลจากการปรับโครงสร้างเงินทุนทำให้ขนาดสินทรัพย์ของ บล. เคจีไอ ลดลงจาก 8,607 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2545 มาอยู่ที่ 5,624 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2546 สินทรัพย์หลักของบริษัทได้เปลี่ยนจากเงินลงทุนเป็นลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์และเงินสด ส่วนโครงสร้างรายได้นั้น บริษัทไม่มีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลที่เกิดจากการลงทุนในต่างประเทศเป็นจำนวนมากอีกต่อไป ทำให้บริษัทต้องพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจในประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายมากกว่าบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ซึ่งพึ่งพิงรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่สูง อีกทั้งบริษัทยังมีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ที่สม่ำเสมอจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย และมีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทกำลังขยายธุรกิจด้านวาณิชธนกิจซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ที่มากกว่านี้
บล. เคจีไอ มีผลกำไรทุกปีนับตั้งแต่ปี 2542 แม้แต่ในช่วงที่มีการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2543-2544 ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2546 บริษัทมีผลกำไร 511 ล้านบาท เทียบกับ 456 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ คาดว่าภายหลังจากการคืนทุน อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้น และแม้ว่าบริษัทจะคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วก็ตาม แต่บริษัทก็ยังคงมีสภาพคล่องและฐานเงินทุนที่เพียงพอในการขยายธุรกิจต่อไป ธุรกิจของบริษัทจะได้รับแรงหนุนจากตลาดหลักทรัพย์ที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันจากบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายใหม่ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทลดลง นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเพื่อการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อาจส่งผลในด้านลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและของผู้ประกอบการอื่นๆ ในอนาคตด้วย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ