ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 1,610 ล้านบาท “ธ. เกียรตินาคิน” ที่ระดับ “A-”

ข่าวทั่วไป Wednesday November 30, 2011 09:05 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,610 ล้านบาทของธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งยืนยันผลอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของธนาคารคงเดิมที่ระดับ “A-” เช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง “Positive”หรือ “บวก” อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลประกอบการทางธุรกิจและการเงินของธนาคารที่ดีขึ้น รวมถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ แนวทางการบริหารความเสี่ยงซึ่งเป็นที่ยอมรับ ผลงานในการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และฐานเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีแรงกดดันจากการมีมูลค่าเครือข่ายธุรกิจ (Franchise Value) ที่จำกัด และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดระดมเงินฝากภายหลังการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก อีกทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของกฎเกณฑ์การออกตั๋วแลกเงิน นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทย ผลจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์ อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคารได้ในอนาคต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาระดับการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในระยะปานกลาง อีกทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารในการควบคุมคุณภาพของสินเชื่อและการดำรงเงินกองทุนที่เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของภาวะทางเศรษฐกิจและการเงินในอนาคตได้ นอกจากนี้ ยังมีประเด็นกังวลที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทยและความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงในฐานเงินฝากลูกค้ารายย่อยอันเป็นผลจากการบังคับใช้กฎหมายสถาบันคุ้มครองเงินฝากอย่างสมบูรณ์ในปี 2555 ธนาคารจึงยังคงต้องพิสูจน์ถึงความสามารถในการดำรงจุดแข็งของธนาคารต่อไป รวมทั้งสามารถรักษาระดับความมั่นคงของฐานเงินทุนเอาไว้ได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

ทริสเรทติ้งรายงานว่าธนาคารเกียรตินาคินเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นลำดับที่ 11 จากจำนวนธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งสิ้น 15 แห่ง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินทรัพย์ 1.6% เงินให้สินเชื่อ 1.7% และเงินรับฝาก 1.0% ธนาคารสามารถบริหารธุรกิจหลักของธนาคาร อาทิ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อที่อยู่อาศัย การบริหารเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้อง และสินทรัพย์รอการขายด้วยความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการและความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีแรงหนุนจากการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ซึ่งทำให้เงินให้สินเชื่อของธนาคารขยายตัวถึง 21% โดยมียอดสินเชื่อทั้งสิ้น 130 พันล้านบาท ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 74% จากจำนวนสินเชื่อทั้งหมด ในขณะที่สินเชื่อเพื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อประเภทอื่นๆ มีสัดส่วน 26% ทั้งนี้ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 มีอัตราการเติบโตจากสิ้นปี 2553 ถึง 25% ด้วยยอดสินเชื่อคงค้างทั้งสิ้น 96 พันล้านบาท เทียบกับ 77 พันล้านบาทในปี 2553 ในขณะที่สินเชื่อที่ให้แก่กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างเติบโต 12% จากมูลค่า 21 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2553 เป็น 23 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารเกียรตินาคินมีกลยุทธ์การเติบโตที่มุ่งเน้นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ ดังนั้น จึงได้กำหนดนโยบายด้านสินเชื่อและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่มีความเข้มงวด ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารลดลงอย่างต่อเนื่อง ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมที่ดีขึ้น โดยลดลงจาก 12.3% ในปี 2550 มาอยู่ที่ 4.6% ในปี 2553 และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4.0% ของธนาคารพาณิชย์ไทยที่ประกอบธุรกิจครบวงจรจำนวน 11 แห่งบนฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพซึ่งเป็นสินเชื่อในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างที่ค่อนข้างสูง โดยมีสัดส่วนคิดเป็น 14% ของสินเชื่อกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างทั้งหมดของธนาคาร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมสำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพในกลุ่มนี้ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8% ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ประกอบด้วยสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 6.4% ของสินทรัพย์รวม ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 7.0%

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เท่ากับ 95% ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 100% ธนาคารมีการขยายสินเชื่อที่ให้แก่กลุ่มโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยซึ่งมีความเสี่ยงสูง แต่ธนาคารยังสามารถดำรงเงินกองทุนและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินกองทุนรวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญคิดเป็น 0.44 เท่า ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.53 เท่า

ธนาคารสามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้นและยังคงรักษาระดับผลตอบแทนที่สูงจากธุรกิจหลักของธนาคารไว้ได้ ในขณะเดียวกันธนาคารยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ในปี 2553 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 2,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากกำไรสุทธิจำนวน 2,229 ล้านบาทในปี 2552 แม้ว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นจาก 30% ในปี 2552 เป็น 38% ในปี 2553 แต่ก็ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 42% ธนาคารมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยในปี 2553 เท่ากับ 2.1% เพิ่มขึ้นจาก 1.8% ในปี 2552 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ 12.7% มาเป็น 14.6% ในปี 2553 ธนาคารมีกำไรสุทธิสำหรับงวด9 เดือนแรกของปี 2554 จำนวน 2,176 ล้านบาท ลดลง 7.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2553 โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยที่ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีอยู่ที่ระดับ 1.3% และ 10.0% ตามลำดับ ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ธนาคารตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญมากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อน

สำหรับสภาพคล่องและเงินทุนนั้น ธนาคารมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระดับหนึ่งเนื่องจากธนาคารมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระคืนภายในช่วง 12 เดือนมากกว่าสินทรัพย์ที่จะครบกำหนดในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแหล่งเงินทุนที่ได้จากลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่อาจมีความผันผวนได้มาก อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยเพื่อเป็นการกระจายแหล่งเงินทุนให้มากขึ้น ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ธนาคารมีสัดส่วนเงินรับฝากประเภทกระแสรายวันและออมทรัพย์คิดเป็น 8% ของเงินรับฝากทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นจาก 1% ณ สิ้นปี 2551

ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ระดับ 15.50% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 เพิ่มขึ้นจาก 15.18% ในปี 2553 และเนื่องจากธนาคารได้ให้สินเชื่อซึ่งมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่สูงโดยเฉพาะสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัย ดังนั้น การดำรงเงินกองทุนและการมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อใช้รองรับความเสียหายที่คาดไม่ถึงจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK)
อันดับเครดิตองค์กร:	                              คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KK127A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,493 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555   	คงเดิมที่ A-
KK12OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555  	คงเดิมที่ A-
KK187A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 240 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561   	คงเดิมที่ A-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,610 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2561	A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                              Positive (บวก)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html





เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ