ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิต“ธ. ธนชาต”: องค์กรเป็น “AA-/Stable” จาก “A+/Positive” หุ้นกู้ด้อยสิทธิเป็น “A+” จาก “A” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเป็น “A” จาก “A-”

ข่าวทั่วไป Monday January 16, 2012 13:02 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “AA-” จากเดิมที่ระดับ “A+” และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคารเป็นระดับ “A+” และ “A” จากเดิมที่ระดับ “A” และ “A-” ตามลำดับ พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นสะท้อนสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นภายหลังการซื้อกิจการและประสบความสำเร็จในการควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางที่มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และกระจายตัวมากกว่า อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีความสามารถและมีประสบการณ์ในธุรกิจหลักคือสินเชื่อเช่าซื้อ ตลอดจนเครือข่ายธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เหมาะสมซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการผสานกำลังทางธุรกิจของกลุ่มธนชาต นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับแรงหนุนจากสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งของพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จากประเทศแคนาดาคือ Bank of Nova Scotia ซึ่งถือหุ้นในธนาคาร 49% อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของธนาคารลดทอนลงจากการมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Asset -- NPA) ในระดับสูง ตลอดจนความไม่แน่นอนของผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งในธุรกิจธนาคารและธุรกิจหลักทรัพย์ นอกจากนี้ การเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรในอนาคตของกลุ่มธนชาตอาจมีข้อจำกัดจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

อันดับเครดิต “A” สำหรับหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร (TBANK197A และ TBANK247A) สะท้อนถึงความด้อยสิทธิและความเสี่ยงต่อการเลื่อนชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้ โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และสะสมผลตอบแทน ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2562 และ 2567 ทั้งนี้ ธนาคารสามารถไถ่ถอนหุ้นกู้คืนทั้งจำนวนก่อนครบกำหนดได้ภายหลังระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสารและได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้จะได้รับการชำระเงินในลำดับถัดจากผู้ฝากเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน และผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารมีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้ประเภทนี้ในกรณีที่ธนาคารมีผลประกอบการขาดทุนในงวดบัญชี 6 เดือนล่าสุดก่อนถึงวันกำหนดชำระดอกเบี้ยและธนาคารไม่มีการจ่ายเงินปันผลในช่วงเวลา 6 เดือนก่อนวันกำหนดชำระดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม จำนวนดอกเบี้ยที่จ่ายคืนจะเป็นจำนวนดอกเบี้ยสะสม

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนบทบาทสำคัญของธนาคารในการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มธนชาต โดยคาดว่าการผสานกำลังที่เกิดจากการควบรวมกิจการจะช่วยให้สถานะทางการตลาดของธนาคารมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถปรับปรุงคุณภาพของสินทรัพย์ให้ดีขึ้น ทั้งนี้ การเติบโตอย่างสม่ำเสมอของรายได้ การแก้ไขสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ รวมทั้งการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพจะส่งผลดีต่ออันดับเครดิตของธนาคาร นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานความคาดหมายว่าการลดลงของวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทเป็น 1 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2555 จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงโดยทันทีต่อระบบธนาคารพาณิชย์

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารธนชาตเป็นธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 6 โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดของสินเชื่อที่ 8.3% และเงินฝากที่ 6.5% ธนาคารเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 26% ด้วยสินเชื่อรวมทั้งสิ้น 260.8 พันล้านบาท (รวมสินเชื่อของ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่) ธนาคารได้ทำการควบรวมกิจการกับธนาคารนครหลวงไทยสำเร็จตามแผนเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ซึ่งทำให้สถานะทางการแข่งขันของธนาคารมีความแข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อของธนาคารมีการกระจายตัวไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นเพิ่มมากขึ้น มีผลทำให้สัดส่วนสินเชื่อในภาคธุรกิจต่างๆ เหมาะสมยิ่งขึ้นและยังช่วยลดการกระจุกตัวของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ลง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจคิดเป็น 42% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2552 ในขณะที่สินเชื่อรายย่อยคิดเป็นสัดส่วน 58% ลดลงจาก 78% เมื่อสิ้นปี 2552 นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าเงินฝากขนาดใหญ่และเครือข่ายสาขาจำนวนมากของธนาคารนครหลวงไทยซึ่งจะช่วยสนับสนุนและขยายขอบเขตการให้บริการทางการเงินภายใต้กลุ่มธนชาตผ่านช่องทางและเครือข่ายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารจะมีมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจ (Franchise Value) ที่มีความแข็งแกร่งขึ้นในระยะกลางถึงระยะยาว อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนชาตยังคงต้องแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จจากการผสานประโยชน์ทางธุรกิจในลำดับต่อไป

ฐานะการเงินของธนาคารธนชาตดีขึ้นเป็นลำดับ โดยในปี 2553 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 8,777 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116% จาก 4,056 ล้านบาทในปี 2552 อันเป็นผลจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งต้นทุนในการตั้งสำรองหนี้สูญที่ลดลง อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (Return on Average Asset -- ROAA) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (Return on Average Equity -- ROAE) สำหรับปี 2553 เท่ากับ 1.34% และ 17.51% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ระดับ 1% และ 16.48% อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของธนาคารในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สอดคล้องกับตัวเลขประมาณการของทริสเรทติ้งสำหรับช่วงเวลาระหว่างการควบรวมกิจการ โดยธนาคารมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 จำนวน 6,444 ล้านบาท ลดลง 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 6,720 ล้านบาท ธนาคารมี ROAA และ ROAE เท่ากับ 0.74% และ 8.86% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง (ไม่รวมธนาคารไทยที่มีต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 แห่ง) ที่ 1.11% และ 11.57% อัตราส่วนต้นทุนในการดำเนินงานต่อรายได้รวมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 38.8% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 40.7% ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 36.2% อย่างไรก็ตาม ธนาคารควรมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในระยะกลางภายหลังการควบรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์

สำหรับคุณภาพสินทรัพย์ภายหลังการควบรวมกิจการนั้น ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพรวมทั้งสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อที่ค้างชำระเกินกว่า 3 เดือน ยอดคงค้างของสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อธุรกิจที่รับโอนมาจากธนาคารนครหลวงไทย ทั้งนี้ ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 คิดเป็น 6.31% ของเงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 3.04% ในปี 2552 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 3.98% ในขณะที่ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 คิดเป็น 0.61 เท่าของผลรวมของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคาร โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่ระดับ 0.31 เท่า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 0.53 เท่า อย่างไรก็ตาม ระดับเงินกองทุนและสำรองหนี้สูญของธนาคารยังคงเพียงพอสำหรับรองรับการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่มิอาจคาดการณ์ได้ กระนั้นก็ตาม ยังคงต้องรอพิสูจน์ความสามารถของคณะผู้บริหารในการควบคุมดูแลคุณภาพสินทรัพย์มิให้เสื่อมถอยลงไปอีกในช่วงที่การควบรวมกิจการเสร็จสิ้นแล้ว

ภายหลังการควบรวมกิจการ ธนาคารมีแหล่งเงินทุนที่กระจายตัวดีขึ้น อีกทั้งยังมีโครงสร้างของสินทรัพย์และหนี้สินที่สอดคล้องกันมากขึ้น สภาพคล่องโดยรวมของธนาคารดีขึ้นเนื่องจากสามารถระดมเงินฝากจากรายย่อยได้มากขึ้น อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน) เท่ากับ 97% สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 96% ฐานเงินกองทุนของธนาคารแข็งแกร่งขึ้นจากการเพิ่มทุนโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ในปี 2553 จำนวน 35.8 พันล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ระดับ 8.3% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 เพิ่มขึ้นจาก 6.4% ในปี 2552 แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 9.3% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 เท่ากับ 14.7% เพิ่มขึ้นจาก 14.1% ในปี 2552 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 15.4% และคาดว่าอัตราส่วนของธนาคารจะลดลงอีกเล็กน้อยซึ่งเป็นผลจากการนำค่าความนิยมจากการซื้อกิจการมาหักออกจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 เมื่อการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ — จบ

ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) (TBANK)
อันดับเครดิตองค์กร:	                                    เพิ่มเป็น AA- จาก A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TBANK155A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558	เพิ่มเป็น A+ จาก A
TBANK194A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562	เพิ่มเป็น A+ จาก A
TBANK196A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562	เพิ่มเป็น A+ จาก A
TBANK197A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2	เพิ่มเป็น A จาก A-
3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562
TBANK204A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563	เพิ่มเป็น A+ จาก A
TBANK247A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 	เพิ่มเป็น A จาก A-
1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567
แนวโน้มอันดับเครดิต:	Stable (คงที่) จาก Positive (บวก)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html





เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ