ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ราชธานีลิสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB+/Stable”

ข่าวทั่วไป Wednesday January 25, 2012 09:03 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสอง รวมถึงความคืบหน้าในการพัฒนากระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารนครหลวงไทยได้ควบรวมกิจการกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทโดยตรงเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารธนชาตภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 ธนาคารธนชาตได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเป็น 65.2% อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากประเด็นกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและปัญหาคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจากการที่ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นให้สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าประสบการณ์ของผู้บริหารตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้นและการสนับสนุนจากบริษัทแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อในผลิตภัณฑ์และตลาดที่ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อีกทั้งการสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังการปรับโครงสร้างเงินทุนในปลายปี 2549 บริษัทราชธานีลิสซิ่งมีสถานะเป็นบริษัทร่วมของธนาคารนครหลวงไทย ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการกู้ยืมจากธนาคารนครหลวงไทยเพื่อเป็นเงินทุนในการขยายสินเชื่อของบริษัท สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 53% ในช่วงปี 2549-2553 สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,775 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 10,404 ล้านบาทในปี 2553 สินเชื่อยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2554 โดยปรับเพิ่มเป็น 11,879 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นบริษัทเดี่ยวทั่วๆ ไปแล้ว สถานะการเป็นบริษัทร่วมของธนาคารพาณิชย์ช่วยให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินที่ดีกว่าจากธนาคารแม่

ทริสเรทติ้งกล่าวว่าโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทได้รับผลกระทบจากการควบรวมระหว่างธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารธนชาต โดยธนาคารธนชาตถือหุ้น 99.2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของธนาคารนครหลวงไทยหลังจากซื้อหุ้นจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในเดือนเมษายน 2553 และจากนักลงทุนผ่านการเสนอซื้อหุ้นในเดือนมิถุนายน 2553 นอกจากนี้ ธนาคารธนชาตยังประสบความสำเร็จตามแผน Entire Business Transfer (EBT) ซึ่งแผนดังกล่าวเป็นการโอนสินทรัพย์และหนี้สินของธนาคารนครหลวงไทยไปยังธนาคารธนชาตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ส่งผลให้ธนาคารธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 48.4% ของบริษัทโดยตรง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ธนาคารธนชาตเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดด้วยสินเชื่อรถยนต์คงค้างประมาณ 270 พันล้านบาท ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างทุนโดยการขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งธนาคารธนชาตได้ใช้สิทธิทั้งหมดของตนในการซื้อหุ้นของบริษัท ในขณะที่มีผู้ถือหุ้นอื่นไม่กี่รายที่ใช้สิทธิ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโดยธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้นเป็น 65.2% ดังนั้น บริษัทจึงเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาต ซึ่งปัจจุบันธนาคารธนชาตได้จัดให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Full Consolidation ตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย

แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน การเพิ่มทุนล่าสุดจากธนาคารธนชาตสื่อให้เห็นว่าธนาคารธนชาตมีความตั้งใจที่จะให้บริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารธนชาตได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีการนำนโยบายการบริการความเสี่ยงด้านต่างๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต บริษัทยังได้รับการแนะนำและกำกับดูแลจากธนาคารแม่และธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแม่ด้วย

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์ทั่วๆ ไปได้ผลักให้บริษัทขนาดเล็กเช่นบริษัทราชธานีลิสซิ่งต้องแสวงหาผลิตภัณฑ์และตลาดใหม่ๆ โดยบริษัทได้หันไปเน้นการให้บริหารสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 52% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 บริษัทพยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการให้ชำระเช็คลงวันที่ล่วงหน้า แม้ว่าคุณภาพสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่บริษัทก็ยังคงมีความท้าทายในการดำรงผลตอบแทนในระยาวให้มีเสถียรภาพหลังจากหักเงินกันสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญแล้ว อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 5.9% ในปี 2551 เป็น 2.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 การปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตราส่วนคุณภาพสินเชื่อส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานสินเชื่ออย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลกับคุณภาพของสินเชื่อประเภทใหม่นี้เนื่องจากความเชี่ยวชาญของบริษัทคือสินเชื่อสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะ

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสองส่งผลกดดันความพยายามของบริษัทในการปรับเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยแม้ว่าสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็ตาม โดยบริษัทมีอัตราดอกเบี้ยรับอยู่ที่ระดับ 9.5% ในปี 2551 และปี 2552 ลดลงจาก 10% ในปีก่อน ๆ อัตราดังกล่าวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 9.4% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม เงินทุนต้นทุนต่ำจากธนาคารแม่ช่วยทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทปรับเพิ่มขึ้น โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มเป็น 4.3% ในปี 2553 จาก 4.2% ในปี 2552 และ 3.4% ในปี 2551 สำหรับปี 2554 แม้ว่าต้นทุนของแหล่งเงินทุนจะปรับลดลงเป็น 5.6% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) สำหรับช่วงเวลา 3 ไตรมาสแรกของปี ทว่าอัตราดอกเบี้ยรับในช่วงเวลาเดียวกันกลับปรับลดลงเป็น 8.7% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเป็น 3.1% ตั้งแต่ปี 2551 บริษัทได้รับประโยชน์จากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการบัญชีเกี่ยวกับการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายคอมมิชชั่นและประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด ปัจจัยทั้ง 2 ประการดังกล่าวช่วยปรับปรุงผลการดำเนินงานของบริษัทให้ดีขึ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 26.7% ในปี 2552 ลดลงจากอัตราที่สูงกว่า 30% ในช่วงหลายปีก่อนปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อไปอีกเป็น 24.9% ในปี 2553 และลดลงเป็นอย่างมากมาอยู่ที่ระดับเพียงแค่ 12.8% สำหรับช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น

บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 204 ล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 109 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิสำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 อยู่ที่ระดับ 191 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 30.1% จากช่วงเดียวกันในปี 2553 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ในปี 2553 จาก 1.9% และ 1.8% ในปี 2552 และปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวรักษาระดับอยู่ที่ 2.4% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้ว) ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 ฐานทุนของบริษัททรุดลงจากการระดมทุนเชิงรุกโดยการกู้ยืมเพื่อขยายสินเชื่อแม้ว่าจะมีการเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิตามใบรับรองสิทธิในการซื้อหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยในปลายปี 2552 และการปรับตัวดีขึ้นของผลประกอบการในปี 2552 และปี 2553 แล้วก็ตาม อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงจาก 31.4% ในปี 2550 เป็น 13.4% ในปี 2553 และ 12.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 การปรับโครงสร้างทุนในเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็นประมาณ 18% ณ สิ้นปี 2554 ระดับดังกล่าวถือว่าเพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในอีก 2-3 ปีข้างหน้าภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ปัจจุบันบริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารหลวงไทยซึ่งปัจจุบันคือธนาคารธนชาต ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ประมาณ 80% ของเงินกู้ยืมรวมของบริษัทเป็นการกู้ยืมจากธนาคารแม่ ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (THANI)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html







เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ