บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ "BBB+" จาก "BBB" และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB" โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงประสบการณ์ที่ยาวนานของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชื่อเสียงของบริษัทในตลาดบ้านเดี่ยวระดับกลางถึงบน การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และรายได้ค่าเช่าที่สม่ำเสมอจากห้องชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงาน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนด้วยโครงสร้างทางการเงินของบริษัทที่มีการใช้เงินกู้ในระดับสูงและความเสี่ยงของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2526 โดยกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2547 ได้แก่ กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 26% Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. 12% และกองทุนเปิดไทยทวีทุน 11% ในระยะแรก บริษัทเน้นธุรกิจรับสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้าและพัฒนาอาคารสูงเพื่อให้เช่า ต่อมาในปี 2535 ก็ได้เริ่มธุรกิจบ้านจัดสรร ในปี 2546 บริษัทมียอดขายจากธุรกิจบ้านจัดสรรคิดเป็น 89% ของรายได้ของบริษัท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ค่าเช่าจากห้องชุดพักอาศัย (7%) และอาคารสำนักงาน (4%) กลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับบนถือว่าประสบความสำเร็จ การดำเนินกลยุทธ์บ้านสร้างเสร็จก่อนขายร่วมกับการนำเสนอแนวคิดเรื่องบ้าน 5 คุณภาพช่วยทำให้บริษัทมีผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในปี 2546 บริษัทส่งมอบบ้าน 518 หลังให้แก่ลูกค้า โดยราคาขายบ้านเฉลี่ยต่อหลังเพิ่มขึ้นจาก 7.5 ล้านบาทในปี 2545 เป็น 10 ล้านบาทในปี 2546
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ว่ารายได้ค่าเช่าจากอาคารสูงของบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จะมีสัดส่วนประมาณ 10%-20% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาในรูปของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้วจะมีสัดส่วนประมาณ 20%-30% ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวมของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีอาคารชุดพักอาศัย 6 แห่งและอาคารสำนักงาน 4 แห่ง อาคารชุดพักอาศัย "เซ็นเตอร์พอยท์" ของบริษัทซึ่งมีจำนวนห้องพักรวมทั้งหมด 1,033 ห้องถือว่าเป็นอาคารชุดพักอาศัยที่มีจำนวนห้องมากที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังมีอาคารชุดพักอาศัยที่กำลังก่อสร้างอยู่อีก 1 โครงการบนถนนสุขุมวิท (จำนวน 45 ห้อง) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2547 อัตราการเช่าพักเฉลี่ยของห้องชุดพักอาศัยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 79% ในปี 2546 โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเล็กน้อยที่ระดับ 81% ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันในตลาดอาคารชุดพักอาศัยจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยคาดว่าจะมีอาคารชุดพักอาศัยเปิดเพิ่มในปี 2547 อีกประมาณ 1,000 ห้อง ในส่วนของอาคารสำนักงานทั้ง 4 แห่งของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่ารวม 53,354 ตารางเมตร (ตร.ม.)
ทริสเรทติ้งยังกล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2546 ถือว่าน่าพอใจ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นจาก 21.3% ในปี 2545 เป็น 23.8% ในปี 2546 ถึงแม้ว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะดีขึ้น แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 60% ในปี 2546 สำหรับโครงการ "คิวเฮ้าส์ ลุมพินี" ซึ่งหยุดการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 นั้น บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2548 ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าประมาณ 50,000 ตร.ม. และพื้นที่ค้าปลีกอีกประมาณ 10,000 ตร.ม. ถึงแม้ว่าความต้องการเช่าอาคารสำนักงานเกรด A น่าจะยังคงอยู่ในระดับดี และโครงการดังกล่าวยังมีข้อได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่หัวมุมถนนสาทร แต่ทริสเรทติ้งยังคงมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการเนื่องจากยังคงต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 1,900 ล้านบาท
ในปี 2546 จำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึง 49% เป็น 50,594 หน่วย เนื่องจากมีการเร่งการตัดสินใจซื้อบ้านก่อนที่สิทธิพิเศษทางภาษีจะหมดลงในเดือนธันวาคม 2546 การแข่งขันในตลาดบ้านจัดสรรคาดว่าจะยังคงรุนแรงจากการที่ผู้ประกอบการหลายรายกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการลดลง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการวางเงินดาวน์สำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปและความเข้มงวดในการรายงานการปล่อยกู้กับผู้ประกอบการของสถาบันการเงินจะช่วยลดภาวะการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทควอลิตี้ เฮ้าส์ เป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2526 โดยกลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ผู้ถือหุ้นของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2547 ได้แก่ กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 26% Government of Singapore Investment Corporation Pte. Ltd. 12% และกองทุนเปิดไทยทวีทุน 11% ในระยะแรก บริษัทเน้นธุรกิจรับสร้างบ้านบนที่ดินของลูกค้าและพัฒนาอาคารสูงเพื่อให้เช่า ต่อมาในปี 2535 ก็ได้เริ่มธุรกิจบ้านจัดสรร ในปี 2546 บริษัทมียอดขายจากธุรกิจบ้านจัดสรรคิดเป็น 89% ของรายได้ของบริษัท ส่วนที่เหลือเป็นรายได้ค่าเช่าจากห้องชุดพักอาศัย (7%) และอาคารสำนักงาน (4%) กลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับบนถือว่าประสบความสำเร็จ การดำเนินกลยุทธ์บ้านสร้างเสร็จก่อนขายร่วมกับการนำเสนอแนวคิดเรื่องบ้าน 5 คุณภาพช่วยทำให้บริษัทมีผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในปี 2546 บริษัทส่งมอบบ้าน 518 หลังให้แก่ลูกค้า โดยราคาขายบ้านเฉลี่ยต่อหลังเพิ่มขึ้นจาก 7.5 ล้านบาทในปี 2545 เป็น 10 ล้านบาทในปี 2546
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ว่ารายได้ค่าเช่าจากอาคารสูงของบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จะมีสัดส่วนประมาณ 10%-20% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาในรูปของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแล้วจะมีสัดส่วนประมาณ 20%-30% ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวมของบริษัท ปัจจุบันบริษัทมีอาคารชุดพักอาศัย 6 แห่งและอาคารสำนักงาน 4 แห่ง อาคารชุดพักอาศัย "เซ็นเตอร์พอยท์" ของบริษัทซึ่งมีจำนวนห้องพักรวมทั้งหมด 1,033 ห้องถือว่าเป็นอาคารชุดพักอาศัยที่มีจำนวนห้องมากที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย นอกจากนี้ บริษัทยังมีอาคารชุดพักอาศัยที่กำลังก่อสร้างอยู่อีก 1 โครงการบนถนนสุขุมวิท (จำนวน 45 ห้อง) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในเดือนกรกฎาคม 2547 อัตราการเช่าพักเฉลี่ยของห้องชุดพักอาศัยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 79% ในปี 2546 โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเล็กน้อยที่ระดับ 81% ทริสเรทติ้งคาดว่าการแข่งขันในตลาดอาคารชุดพักอาศัยจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นโดยคาดว่าจะมีอาคารชุดพักอาศัยเปิดเพิ่มในปี 2547 อีกประมาณ 1,000 ห้อง ในส่วนของอาคารสำนักงานทั้ง 4 แห่งของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีพื้นที่ให้เช่ารวม 53,354 ตารางเมตร (ตร.ม.)
ทริสเรทติ้งยังกล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2546 ถือว่าน่าพอใจ ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้นจาก 21.3% ในปี 2545 เป็น 23.8% ในปี 2546 ถึงแม้ว่าโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะดีขึ้น แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงที่ 60% ในปี 2546 สำหรับโครงการ "คิวเฮ้าส์ ลุมพินี" ซึ่งหยุดการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 นั้น บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อ โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2548 ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าประมาณ 50,000 ตร.ม. และพื้นที่ค้าปลีกอีกประมาณ 10,000 ตร.ม. ถึงแม้ว่าความต้องการเช่าอาคารสำนักงานเกรด A น่าจะยังคงอยู่ในระดับดี และโครงการดังกล่าวยังมีข้อได้เปรียบในด้านทำเลที่ตั้งที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่หัวมุมถนนสาทร แต่ทริสเรทติ้งยังคงมีความเป็นห่วงเกี่ยวกับความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการเนื่องจากยังคงต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 1,900 ล้านบาท
ในปี 2546 จำนวนที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเพิ่มขึ้นถึง 49% เป็น 50,594 หน่วย เนื่องจากมีการเร่งการตัดสินใจซื้อบ้านก่อนที่สิทธิพิเศษทางภาษีจะหมดลงในเดือนธันวาคม 2546 การแข่งขันในตลาดบ้านจัดสรรคาดว่าจะยังคงรุนแรงจากการที่ผู้ประกอบการหลายรายกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและการยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีจะทำให้ความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการลดลง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการวางเงินดาวน์สำหรับบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปและความเข้มงวดในการรายงานการปล่อยกู้กับผู้ประกอบการของสถาบันการเงินจะช่วยลดภาวะการเก็งกำไรในตลาดที่อยู่อาศัย ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ