ทริสเรทติ้งลดอันดับเครดิตองค์กร “บ. ดุสิตธานี” เป็นระดับ “BBB+/Stable” จาก “A-/Negative”

ข่าวทั่วไป Tuesday December 27, 2011 16:32 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เป็น ระดับ “BBB+” จาก “A-” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตที่ปรับลดลงสืบเนื่องจากการมีผลประกอบการที่อ่อนแอและการฟื้นตัวที่คาดว่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ อันดับเครดิตระดับ “BBB+” สะท้อนถึงชื่อเสียงของบริษัทในฐานะเป็นโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยและฐานะการเงินที่แข็ง แกร่งจากการมีภาระหนี้ที่ต่ำ นอกจากนี้ ในการจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงโรงแรมของบริษัทที่กระจายตัวอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญ ตลอดจนผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การขยายโรงแรมไปในต่างประเทศ และศักยภาพในการขยายสู่ธุรกิจบริหารโรงแรม ด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากธรรมชาติของธุรกิจโรงแรมที่มีความผันผวนและการแข่งขันที่ทวี ความรุนแรง ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการเติบโตและความหลากหลายของโรงแรมของ บริษัท โดยทริสเรทติ้งคาดว่าขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นซึ่งจะส่งผลทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น และการ ดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างระมัดระวังถือเป็นการช่วยพยุงคุณภาพเครดิตของบริษัทในช่วงวงจรอุตสาหกรรมขาลง

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทดุสิตธานีเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งประกอบกิจการและรับ บริหารโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนท์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และในปี 2513 ได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ “ดุสิตธานี” ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก การมีประวัติที่ยาวนานได้สร้างชื่อเสียงที่มั่นคงและทำให้บริษัทสามารถขยายสู่ธุรกิจการบริหารโรงแรมทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ ได้แก่ ประเทศฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) และอียิปต์ ณ เดือนกันยายน 2554 โรงแรมภายใต้การบริหาร งานของบริษัทประกอบด้วยโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 6 แห่ง (2,086 ห้อง) โรงแรมภายใต้การรับจ้างบริหารจัดการ 8 แห่ง (1,505 ห้อง) และโรงแรมที่ดำเนินการภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท 5 แห่ง (1,080 ห้อง) นโยบายทางธุรกิจ ของบริษัทค่อนข้างอนุรักษ์นิยม โดยบริษัทมุ่งเน้นเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการ อย่างไรก็ตาม จำนวนโรงแรมภายใต้ การบริหารของบริษัทเติบโตค่อนข้างช้าเนื่องจากตลาดหลักของบริษัทในภูมิภาคตะวันออกกลางได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของ เศรษฐกิจโลก นอกเหนือจากตลาดตะวันออกกลางแล้ว บริษัทยังได้เจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ ในประเทศอินเดียและ ประเทศจีนเพื่อขยายธุรกิจด้านบริหารโรงแรมด้วย ทั้งนี้ รายได้จากการรับบริหารโรงแรม ณ เดือนกันยายน 2554 อยู่ที่ 60.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 2.3% ของรายได้

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทดุสิตธานีได้รับผลกระทบอย่างมากจากสภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยในช่วงหลายปีที่ ผ่านมา ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานผันผวนด้วยผลกระทบจากความอ่อนไหวของอุตสาหกรรม ตลอดจน ความไม่สงบของการเมืองภายในประเทศ และภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรง ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทมาจาก โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของ 3 แห่งเป็นหลัก คือ โรงแรมดุสิตธานีที่กรุงเทพฯ ที่พัทยา และที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดย รายได้จากโรงแรมอื่นที่บริษัทเป็นเจ้าของยังมีสัดส่วนที่ยังน้อยอยู่ แม้บริษัทจะขยายการดำเนินธุรกิจไปยังต่างประเทศ แต่รายได้ มากกว่า 70% ยังคงมาจากภายในประเทศเป็นหลัก ทั้งนี้ การลงทุนในกิจการโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์โดยผ่านบริษัทย่อยคือ DMS Property Investment Private Ltd. (DMS) จะช่วยผลักดันให้สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทเพิ่มขึ้นซึ่งจะ ช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ภายในประเทศ

นับตั้งแต่การชุมนุมทางการเมืองในเดือนธันวาคม 2551 รายได้ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องโดยตกลงจาก 3,313 ล้านบาทในปี 2551 มาอยู่ที่ 2,879 ล้านบาทในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 รายได้ปรับ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,667 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากผลประกอบการของโรงแรมดุสิต ธานี กรุงเทพฯ ที่ฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบอย่างมากจากความรุนแรงทางการเมืองเมื่อไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 นอกจาก นี้ การรวมผลประกอบการของโรงแรมดุสิตธานีลากูน่า ภูเก็ต เข้ามาก็มีส่วนทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น ทั้งนี้ การฟื้นตัวกลับ มาแข็งแกร่งของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ในส่วนของ โรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 66% เปรียบเทียบกับโรงแรมเดียวกันที่ระดับ 61% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,731 บาทเมื่อเทียบกับ 2,502 บาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตรา ค่าห้องพักต่อคืนสำหรับโรงแรมของบริษัทโดยเฉพาะโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ มีอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากภาพลักษณ์ของโรงแรมที่ไม่ตามสมัย อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องจากกว่า 20% ในอดีตเป็น 14.82% ในปี 2552 และลดเหลือระดับเลขหนึ่งหลักในปี 2553 และ 9 เดือนแรกของปี 2554 ตามลำดับ ส่งผลทำให้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานลดลง แม้กำไรจะลดลง แต่บริษัทก็มีสภาพคล่อง ที่ดีเนื่องจากมีภาระหนี้ที่ต่ำ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีการดำเนินนโยบายทั้งในด้านการลงทุนและการเงินที่ระมัดระวัง โดยนโยบายการ เติบโตของบริษัทมุ่งเน้นการขยายบริการรับจ้างบริหารโรงแรม และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทไม่มีการลงทุนก่อสร้างโรงแรม ใหม่ ทั้งนี้ เงินลงทุนที่ไม่สูง ประกอบกับการขายสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัทลดลงจาก 1,299 ล้าน บาทในปี 2551 เหลือ 369 ล้านบาทในปี 2553 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอยู่เสมอ โดยในเดือน ธันวาคม 2553 บริษัทได้ลงทุนมูลค่า 1,228 ล้านบาทในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี โดยใช้เงินได้จาก การขายและให้เช่าสินทรัพย์ของบริษัทเพื่อลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ต่อมาในเดือนสิงหาคม 2554 บริษัทได้ซื้อโรงแรม ในประเทศมัลดีฟส์โดยผ่านบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 55% ซึ่งส่งผลทำให้ภาระหนี้ของบริษัท ณ เดือนกันยายน 2554 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,562 ล้านบาท และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 25.22% เพิ่มขึ้นจาก 8.07% ณ เดือนธันวาคม 2553

แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 แต่มหาอุทกภัยที่เกิด ขึ้นในพื้นที่จังหวัดภาคกลางและหลายเขตในกรุงเทพฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2554 ก็มีผลกระทบที่ทำให้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรม โรงแรมช้าลง ทั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 น่าจะอยู่ที่ 4.06 ล้านคน ลดลง 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองจะยัง คงส่งผลกดดันการสร้างรายได้และจำกัดความสามารถในการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องของผู้ประกอบการโรงแรม โดยเฉพาะใน เขตกรุงเทพฯ ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท โรงแรมดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DTC)
อันดับเครดิตองค์กร:	          ลดเป็น BBB+ จาก A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:		   Stable (คงที่) จาก Negative (ลบ)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ
10500

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2554  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้
เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูป
แบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้
ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัท
นั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การ
จัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึง
ความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความ
เหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัท
และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความ
ครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง
ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆ
โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website:
http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html








เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ