ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบัน และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันไม่เกิน 3,000 ล้านบาท “ธ. เกียรตินาคิน” ที่ระดับ “A-/Positive”

ข่าวทั่วไป Tuesday February 14, 2012 16:30 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) คงเดิมที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ของธนาคารในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทที่ระดับ “A-” โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตสะท้อนถึงธุรกิจและผลประกอบการของธนาคารที่ดีขึ้น รวมถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การบริหารความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้ คุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และฐานเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังได้รับแรงกดดันจากการที่ธนาคารมีมูลค่าเครือข่ายธุรกิจ (Franchise Value) ในระดับปานกลาง รวมถึงการมีเครือข่ายที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และความไม่แน่นอนของการเคลื่อนย้ายเงินฝากภาคเอกชนภายหลังการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจหลักทรัพย์ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคารได้ในอนาคต ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาระดับการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรได้ในระยะกลาง อีกทั้งยังสะท้อนถึงความสามารถของธนาคารในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อและการดำรงเงินกองทุนที่เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเงินในอนาคตได้ ประเด็นกังวลสำคัญ 3 ประการที่ยังคงอยู่ประกอบด้วย ผลกระทบที่อาจเกิดจากอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย ความเสี่ยงในเรื่องเสถียรภาพของฐานลูกค้าเงินฝากรายย่อยที่อาจถูกกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากในเดือนสิงหาคม 2555 และต้นทุนทางการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ความสามารถของธนาคารในการดำรงจุดแข็ง รวมทั้งการรักษาฐานเงินทุนที่มีเสถียรภาพไว้ได้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ธนาคารเกียรตินาคินเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับที่ 11 ในบรรดาธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งสิ้น 15 แห่ง โดยธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดของสินทรัพย์ 1.6% เงินให้สินเชื่อ 1.7% และเงินรับฝาก 1.0% ธนาคารบริหารจัดการธุรกิจหลักซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัย และการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพด้วยความชำนาญ ในขณะที่คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ สินเชื่อของธนาคารเติบโตถึง 21% จากการขยายตัวของยอดขายรถยนต์ในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2554 ด้วยยอดสินเชื่อทั้งสิ้น 130 พันล้านบาท ธนาคารมีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 74% จากสินเชื่อทั้งหมด ในขณะที่สินเชื่อเพื่อโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสินเชื่อประเภทอื่นๆ มีสัดส่วน 26% ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มียอดคงค้างทั้งสิ้น 96 พันล้านบาท ด้วยอัตราการเติบโต 25% เทียบกับ 77 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2553 ส่วนสินเชื่อธุรกิจกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างเติบโต 12% จาก 21 พันล้านบาทเมื่อสิ้นปี 2553 เป็น 23 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554

ในเดือนธันวาคม 2554 ธนาคารได้ลงนามในข้อตกลงการควบรวมกิจการกับ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์โดยมีมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในปี 2554 มากเป็นอันดับ 8 ในบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 33 แห่ง ธนาคารมีแผนการจะซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) ของบริษัททุนภัทรโดยการออกหุ้นสามัญของธนาคารชุดใหม่เพื่อแลกเปลี่ยนกับผู้ถือหุ้นของบริษัททุนภัทร ซึ่งการซื้อหุ้นดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2555 หากการควบรวมกิจการสำเร็จ ธนาคารจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์สูงขึ้นและมีผลประกอบการโดยรวมดีขึ้นหากธนาคารและบริษัทย่อยสามารถสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นโดยทันทีหลังการควบรวมกิจการแล้วเสร็จคาดว่าจะยังไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะเครดิตของธนาคาร

ธนาคารมีกลยุทธ์เติบโตโดยมุ่งเน้นสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีโดยได้กำหนดนโยบายด้านสินเชื่อและเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่มีความเข้มงวด ส่งผลให้ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของธนาคารลดลงจาก 12.3% ในปี 2550 มาอยู่ที่ 4.6% ในปี 2553 และลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ในเดือนกันยายน 2554 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 4.0% ของธนาคารพาณิชย์ไทย 11 แห่งในฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง (ไม่รวมธนาคาร 4 แห่งที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) ในขณะเดียวกัน ธนาคารมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ประกอบด้วยสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 6.4% ของสินทรัพย์รวม ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 7.0% ธนาคารได้ให้สินเชื่อแก่โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีความน่าเชื่อถือน้อยซึ่งมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง สินเชื่อด้อยคุณภาพในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างยังคงอยู่ในระดับสูงคิดเป็น 14% ของสินเชื่อกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างทั้งหมดของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 8% สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพในกลุ่มเดียวกันนี้ อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังดำรงเงินกองทุนซึ่งรวมสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพได้ ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเงินกองทุนซึ่งรวมค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญคิดเป็น 0.44 เท่า ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.53 เท่า นอกจากนี้ อัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังเพิ่มขึ้นจาก 85% ณ สิ้นปี 2553 เป็น 95% ในเดือนกันยายน 2554 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 100% อย่างไรก็ตาม ธนาคารอาจมีสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นภายหลังอุทกภัยครั้งใหญ่ซึ่งเกิดเมื่อช่วงปลายปี 2554 แต่ก็คาดว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียงชั่วคราวและอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารเกียรตินาคินสามารถสร้างรายได้ที่สูงขึ้นและรักษาระดับผลตอบแทนที่สูงเอาไว้ได้จากธุรกิจหลัก ในขณะเดียวกันยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้เป็นอย่างดี ธนาคารมีกำไรสุทธิในปี 2553 จำนวน 2,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากกำไรสุทธิ 2,229 ล้านบาทในปี 2552 แม้ว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นจาก 30% ในปี 2552 เป็น 38% ในปี 2553 แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ที่ 42% อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 2.1% จาก 1.8% ในปี 2552 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 12.7% ในปี 2552 เป็น 14.6% ในปี 2553 สำหรับกำไรสุทธิของธนาคารในงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 มีจำนวน 2,176 ล้านบาท ลดลง 7.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) อยู่ที่ระดับ 1.3% และ 10.0% ตามลำดับ ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่ธนาคารตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นมากกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารอาจได้รับผลกระทบจากค่าธรรมเนียมที่คำนวณจากฐานเงินฝากและตั๋วแลกเงินซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น โดยต้องนำส่งค่าธรรมเนียมให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อชำระคืนภาระหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

ในส่วนของสภาพคล่องและเงินทุนนั้น ธนาคารมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในระดับหนึ่งจากการมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระคืนภายใน 12 เดือนมากกว่าสินทรัพย์ที่จะครบกำหนดในช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ธนาคารยังคงพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนที่อาจมีความผันผวนได้มาก โครงสร้างเงินทุนของธนาคาร ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ประกอบด้วยเงินกู้ยืมตั๋วแลกเงินคิดเป็น 50% ของเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงิน เงินฝากประจำ 44% และเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ 6% อย่างไรก็ดี ธนาคารมีกลยุทธ์ที่จะเพิ่มจำนวนบัญชีเงินฝากรายย่อยเพื่อให้แหล่งเงินทุนมีการกระจายตัวและมีเสถียรภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ การลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทเป็น 1 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2555 นี้อาจส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งทางการเงินและเสถียรภาพของแหล่งเงินทุนของธนาคารได้ด้วยเช่นกัน

ธนาคารมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งโดยสะท้อนจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ระดับ 15.50% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 15.18% ในปี 2553 อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์ของธนาคารลดลงเล็กน้อยจาก 14.7% ในปี 2553 มาอยู่ที่ 12.3% แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 9.4% ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง ธนาคารมีสินเชื่อที่มีความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงโดยเฉพาะสินเชื่อโครงการที่อยู่อาศัย ดังนั้น การดำรงเงินกองทุนและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่แข็งแกร่งเพียงพอจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรองรับความเสียหายที่มิอาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงจากภาวะถดถอยที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (KK)
อันดับเครดิตองค์กร:                                                                       		คงเดิมที่ A-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KK127A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,493 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555		คงเดิมที่ A-
KK12OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555		คงเดิมที่ A-
KK16DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 975 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559			คงเดิมที่ A-
KK187A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 240 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561			คงเดิมที่ A-
KK18DA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 625 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561			คงเดิมที่ A-
KK18DB: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561			คงเดิมที่ A-
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2557	A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:						Positive (บวก)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ