ทริสเรทติ้งจัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท “บ. อินโดรามา เวนเจอร์ส”และคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ชุดปัจจุบัน ที่ระดับ “A+/Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday March 13, 2012 13:01 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาทของบริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัท ที่ระดับ “A+” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้ ใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ตลอดจนใช้ในการซื้อกิจการและขยายธุรกิจ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งในการเป็นผู้ผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ชั้นนำระดับโลก ตลอดจนความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตและการมีฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพและแน่นอน จากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) รวมถึงการมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวทั่วโลก ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร รวมทั้งการเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญของอุตสาหกรรมด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตของบริษัท และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แน่นอนจากประโยชน์ที่ได้รับจาก Vertical Integration นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาความแข็งแรงทางการเงินและสถานะสภาพคล่องที่เพียงพอเอาไว้ให้ได้เพื่อจะช่วยบรรเทาความผันผวนที่เกิดจากธุรกิจปิโตรเคมี

ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สก่อตั้งเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2546 โดยกลุ่มตระกูลโลเฮีย (Lohia) ภายใต้ชื่อเดิมคือ บริษัท บีคอน โกลโบล จำกัด ในฐานะเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ส่งผลให้ในปัจจุบันกลุ่มตระกูลโลเฮียมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทลดลงจาก 92.9% เหลือ 68.7% บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศไทยที่กรุงเทพฯ โดยลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย การผลิตกรดเทอเรฟธาลลิกบริสุทธิ์ (Purified Terephthalic Acid - PTA) และโพลีเอธิลีน เทอเรฟธาลเลท (Polyethylene Terephthalate - PET) รวมทั้งผลิตเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 6.95 ล้านตันต่อปี (รวมกำลังการผลิตในกิจการร่วมทุน) ซึ่งประกอบด้วย กำลังการผลิต PTA ขนาด 2.45 ล้านตันต่อปี PET ขนาด 3.58 ล้านตันต่อปี เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รวมกันที่ 0.60 ล้านตันต่อปีเส้นใย Bi/Mono-Component 0.23 ล้านตันต่อปี และโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 0.08 ล้านตันต่อปี โดย PTA เป็นวัตถุดิบสำคัญในกระบวนการผลิต PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ ส่วน PET ถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในการผลิตบรรจุภัณฑ์สำหรับเครื่องดื่ม อาหาร ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน เวชภัณฑ์ รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในขณะที่เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์นั้นใช้ในอุตสาหกรรมปลายน้ำหลายประเภท ได้แก่ เครื่องแต่งกาย สิ่งทอที่ใช้ภายในครัวเรือน ผลิตภัณฑ์เส้นใยที่ไม่ทอ สิ่งทอชนิดพิเศษ และอุตสาหกรรมยานยนต์ PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถใช้ทดแทนวัสดุอื่นได้ โดย PET ใช้ทดแทนแก้วและอะลูมิเนียมในการผลิตบรรจุภัณฑ์ ในขณะที่เส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ใช้ทดแทนเส้นด้ายและเส้นใยที่ทำจากฝ้าย วัสดุทั้ง 2 กลุ่มนี้เป็นที่นิยมเพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และมีราคาถูก ซึ่งจะช่วยพยุงอุปสงค์ของ PET และเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ในช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลง

บริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์เมื่อปี 2538 โดยเริ่มการผลิต PET ที่จังหวัดลพบุรี (ประเทศไทย) ภายใต้ชื่อ บริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัทมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ระดับสากล ระหว่างปี 2549-2553 บริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าจากการควบรวมกิจการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการซื้อกิจการที่ดำเนินการผลิตแล้ว และการพัฒนาโครงการผลิต PET ใหม่โดยบริษัทเอง โครงการที่บริษัทพัฒนาเองที่ประสบความสำเร็จประกอบด้วยโครงการ Orion Global ในประเทศลิธัวเนียในปี 2549 และโครงการ Alphapet ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2552 สำหรับปี 2554 สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2553 เนื่องจากบริษัทได้ซื้อกิจการในประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก โปแลนด์ จีน อินโดนีเซีย และเยอรมนี โดยใช้งบประมาณในการซื้อกิจการรวมทั้งสิ้นประมาณ 24,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็นผู้ผลิต PET รายใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทหลังการควบรวมกิจการต่อไป

ปัจจุบันบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สมีฐานการผลิตกระจายอยู่ใน 15 ประเทศ ครอบคลุม 3 ทวีป (เอเซีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ) นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการผลิต PET ในประเทศไนจีเรีย ทวีปอาฟริกา ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาด้วย ความสำเร็จในการขยายธุรกิจของบริษัทส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการซื้อกิจการที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างโดยซื้อได้ในราคาต่ำ รวมทั้งความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่สำคัญ ๆ นอกจากนี้ การที่บริษัทมีฐานการผลิตกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคที่สำคัญยังช่วยให้บริษัทเข้าถึงฐานลูกค้าได้ทั่วโลก ส่งผลให้บริษัทสามารถคงอัตราการใช้กำลังการผลิตได้ในระดับสูง การควบคุมปัจจัยการผลิตที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นผลมาจากการมีแหล่งวัตถุดิบเป็นของตนเองจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) และการมีโรงงานที่ใช้พื้นที่ร่วมกับผู้ผลิตวัตถุดิบรายสำคัญ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถเสนอราคาที่แข่งขันได้เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการกีดกันทางการค้าในตลาดที่สำคัญ เช่น อเมริกาเหนือ และยุโรป อีกทั้งการที่บริษัทลงทุนการผลิตทั้ง PTA และผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์นั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มอัตราการทำกำไรให้สูงขึ้นและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้นด้วย

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สจัดอยู่ในประเภทสินค้าโภคภัณฑ์ บริษัทจึงมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี กำลังการผลิตใหม่และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกอาจมีผลกระทบต่ออุปสงค์ ราคา และกำไร อย่างไรก็ตาม รูปแบบธุรกิจของบริษัททั้งในการผลิต PTA และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องน่าจะช่วยบรรเทาความผันผวนดังกล่าวลงได้ นอกจาก Vertical Integration จะช่วยให้บริษัทมีวัตถุดิบที่แน่นอนสำหรับการผลิต PET ตลอดจนเส้นใยและเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์แล้ว ยังช่วยลดค่าขนส่งและต้นทุนการผลิตคงที่จากการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ร่วมกันด้วย

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ฐานะทางการเงินของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 63.1% จาก 96,858 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 186,096 ล้านบาทในปี 2554 รายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 เป็นส่วนใหญ่ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงจาก 12.8% ในปี 2553 เหลือ 8.2% ในปี 2554 เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราการทำกำไรของบริษัทในรูปของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อตันของยอดขายลดลงเล็กน้อยจาก 136 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2553 เหลือ 128 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในปี 2554 นอกจากนี้ ส่วนต่างราคาของผลิตภัณฑ์ PTA ก็ปรับตัวลดลงอย่างมากซึ่งสะท้อนถึงภาวะอุปทานส่วนเกินในภูมิภาคเอเซีย ประกอบกับการปิดโรงงานของบริษัทในอเมริกาเหนือจากภัยพิบัติทอร์นาโดและในประเทศไทยจากวิกฤติอุทกภัยเมื่อปลายปี 2554 ในปี 2554 บริษัทมีเงินทุนจากการดำเนินงาน 14,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1% อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 11.3 เท่าในปี 2553 เป็น 7.6 เท่าในปี 2554 ซึ่งสะท้อนถึงดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีสภาพคล่องที่ดี โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดทั้งสิ้น 17,706 ล้านบาท และมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้ของบริษัทย่อยอีกประมาณ 15,800 ล้านบาท ซึ่งใช้สำหรับสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

การลงทุนในปี 2554 ส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทอินโดรามา เวนเจอร์สอ่อนแอลง โดยเงินกู้รวมเพิ่มขึ้นจาก 32,068 ล้านบาทในปี 2553 เป็น 61,346 ล้านบาทในปี 2554 ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อการลงทุนและเงินกู้ของบริษัทที่มีการควบรวมกิจการเข้ามาและเงินกู้สำหรับหมุนเวียนในกิจการ อย่างไรก็ตาม ฐานเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนที่โอนสิทธิได้ในมูลค่าสุทธิ 17,224 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2554 ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 49.9% ณ สิ้นปี 2553 เป็น 51.1% ณ สิ้นปี 2554 บริษัทยังคงดำเนินตามแผนการลงทุนในช่วงปี 2555-2557 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเพิ่มกำลังการผลิตโดยรวมให้ถึง 10 ล้านตันต่อปี โดยในเดือนมกราคม 2555 บริษัทได้ซื้อหุ้น 100% ใน FiberVisions Holding LLC มูลค่าทั้งสิ้น 181 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5,693 ล้านบาท) ล่าสุดบริษัทยังได้ซื้อกิจการ 100% ใน Old World Chemical (OWC) และ PT Polypet Karyapersada มูลค่าประมาณ 815 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (25,265 ล้านบาท) ด้วย โดยตามแผนการซื้อกิจการของทั้ง 2 บริษัทดังกล่าวจะใช้เงินกู้ประมาณ 70% ส่วนที่เหลืออีก 30% จะใช้เงินจากการดำเนินงานของบริษัท เมื่อพิจารณารวมถึงการลงทุนตามแผนแล้ว ในระยะสั้นถึงปานกลางคาดว่าอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทจะอยู่ในระดับไม่เกิน 60% ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
IVL160A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 210 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A+
IVL160B: หู้นกู้ไม่มีประกัน 2,690 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A+
IVL180A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 98 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 คงเดิมที่ A+
IVL180B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,302 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2561 คงเดิมที่ A+
IVL210A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 37 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 คงเดิมที่ A+
IVL210B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,163 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 คงเดิมที่ A+
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2565 A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ rapee@tris.co.th  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ