บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตระดับ “BBB+” ให้แก่หุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” และจัดอันดับเครดิตระดับ “BBB” ให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันของบริษัทในวงเงินไม่เกิน 500 ล้านบาท ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยแนวโน้มยังคง “Positive” หรือ “บวก” อันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงฐานะทางการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของบริษัทในช่วงปี 2551 ถึงปี 2554 และสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกจำกัดด้วยฐานะทางเครดิตที่อ่อนแอลงของบริษัทแม่ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ ACOM Co., Ltd. (ACOM) จากความเสี่ยงของกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการแข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรง ปัจจัยเหล่านี้อาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงในอนาคต ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัท อีซี่ บาย ที่ดีขึ้นโดยเป็นผลมาจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ระมัดระวัง โดยบริษัทสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่งในปี 2553 และปี 2554 ซึ่งทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตและทำให้อันดับเครดิตของบริษัทแข็งแรงขึ้น ในกรณีที่ไม่มีการเพิ่มทุน ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะไม่มีนโยบายปันผลสูงอันจะลดทอนส่วนของผู้ถือหุ้นลงในอนาคต
ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันสะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท ทั้งนี้ฐานะการเงินของ ACOM อ่อนแอลงตั้งแตปี 2552 เนื่องจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินตามผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบตามกฎหมาย “Money Lending Business Law” ในประเทศญี่ปุ่น และภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง อันดับเครดิตของ ACOM ในปัจจุบันอยู่ในระดับ “BB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งจัดโดย Standard & Poor’s (S&P) ส่วนแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทอีซี่ บาย ที่เปลี่ยนจาก “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของ ACOM ที่เข้มแข็งขึ้นในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2555 และแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้สินเชื่อเพื่อผู้บริโภคของประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น นอกจากนี้ แรงกดดันต่อผลประกอบการทางการเงินก็ลดลงเนื่องจากแนวโน้มที่ลดลงของค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกิน ทั้งนี้ การทบทวนอันดับเครดิตตราสารหนี้อาจมีการพิจารณาใหม่เมื่อทริสเรทติ้งเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงในการสนับสนุนที่ ACOM จะได้รับจาก Mitsubishi UFJ Financial Group (MUFG) ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
ตามเงื่อนไขสัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการชำระหนี้ทันที นอกจากนี้ หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หาก ACOM ไม่สามารถจ่ายชำระได้ตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ค้ำประกัน ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ACOM แจ้งผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 42 พันล้านเยนในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2555 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2555) เนื่องจากการลดลงอย่างมากของการกันสำรองเพิ่มจากการที่ผู้กู้สามารถขอดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้คืน และการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ส่งผลให้ผลกำไรดีขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิถึง 203 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2554 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2554)
ณ เดือนธันวาคม 2554 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บาย มีจำนวน 67 พันล้านเยน คิดเป็นสัดส่วน 7% ของสินเชื่อรวมของ ACOM บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภครายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจอันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ทางธุรกิจที่ใช้ในทางปฏิบัติด้วย
การมีประสบการณ์เกือบ 15 ปีส่งผลให้บริษัทมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างเต็มที่จาก ACOM ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากขึ้น
ตั้งแต่ปี 2551 คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท อีซี่ บาย ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 5.62% ในปี 2550 เป็น 2.14% ในปี 2554 ในขณะที่สัดส่วนหนี้สูญตัดบัญชีสุทธิต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยก็ลดลงจาก 13.22% ในปี 2552 เป็น 9.29% ในปี 2553 และเป็น 6.73% ในปี 2554 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนเพียงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2554 จากผลกระทบของอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทได้ปรับฐานลูกค้าจากกลุ่มผู้ทำงานในโรงงานมาเป็นกลุ่มผู้ทำงานในตึกสำนักงานตั้งแต่ปี 2552 บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์
บริษัท อีซี่ บาย มีฐานะทางการเงินที่เข็มแข็งขึ้นหลังปี 2550 จนบริษัทเริ่มกลับมามีกำไร โดยในปี 2551 มีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาทในปี 2552 เพิ่มเป็น 329 ล้านบาท ในปี 2553 เป็น 925 ล้านบาท และในปี 2554 เป็น 1,310 ล้านบาท การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องเป็นผลมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลง การมีกำไรที่แข็งแกร่ง ในขณะที่มีการจ่ายเงินปันผลไม่มากทำให้บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 5.70% ในปี 2550 เป็น 10.58% ในปี 2553 และ 14.53% ในปี 2554 ในขณะเดียวกัน อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเช่นกันจาก 14 เท่าในปี 2551 เป็น 6 เท่าในปี 2554 ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com ติดต่อ rapee@tris.co.th โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html