ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ?บ. ราชธานีลิสซิ่ง?และคงอันดับองค์กรที่ระดับ ?BBB+/Stable?

ข่าวปฏิทินข่าว Wednesday March 28, 2012 16:30 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาทของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยังคง ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนเงินกู้เดิมของบริษัท อันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสอง รวมถึงความคืบหน้าในการพัฒนากระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) โดยธนาคารนครหลวงไทยได้ควบรวมกิจการกับธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทโดยตรงเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารธนชาตภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากประเด็นกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและปัญหาคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจากการที่ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นให้สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าประสบการณ์ของผู้บริหารตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้นและการสนับสนุนจากบริษัทแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อในผลิตภัณฑ์และตลาดที่ตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อีกทั้งการสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ

ทริสเรทติ้งรายงานว่า หลังการปรับโครงสร้างเงินทุนในปลายปี 2549 บริษัทราชธานีลิสซิ่งมีสถานะเป็นบริษัทร่วมของธนาคารนครหลวงไทย ส่งผลให้สถานะทางการตลาดของบริษัทปรับตัวดีขึ้น บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการกู้ยืมจากธนาคารนครหลวงไทยเพื่อเป็นเงินทุนในการขยายสินเชื่อของบริษัท สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 53% ในช่วงปี 2549-2553 สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,775 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 10,404 ล้านบาทในปี 2553 สินเชื่อยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2554 โดยปรับเพิ่มเป็น 12,483 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม เมื่อเปรียบเทียบกับการเป็นบริษัทเดี่ยวทั่ว ๆ ไปแล้ว สถานะการเป็นบริษัทร่วมของธนาคารพาณิชย์ช่วยให้บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งทางด้านธุรกิจและการเงินที่ดีกว่าจากธนาคารแม่

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทราชธานีลิสซิ่งได้รับผลกระทบจากการควบรวมระหว่างธนาคารนครหลวงไทยและธนาคารธนชาต โดยหลังจากประสบความสำเร็จในการควบรวมกิจการ ธนาคารธนชาตเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 48.4% ของบริษัทโดยตรง ณ ต้นเดือนพฤศจิกายน 2554 บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างทุนโดยการขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งธนาคารธนชาตได้ใช้สิทธิทั้งหมดของตนในการซื้อหุ้นของบริษัท ในขณะที่มีผู้ถือหุ้นอื่นไม่กี่รายที่ใช้สิทธิ ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทโดยธนาคารธนชาตเพิ่มขึ้นเป็น 65.2% ดังนั้น บริษัทจึงเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาต ซึ่งปัจจุบันธนาคารธนชาตได้จัดให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Full Consolidation ตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ธนาคารธนชาตเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายใหญ่ที่สุดด้วยสินเชื่อรถยนต์คงค้างประมาณ 276 พันล้านบาท แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน การเพิ่มทุนล่าสุดจากธนาคารธนชาตสื่อให้เห็นว่าธนาคารธนชาตมีความตั้งใจที่จะให้บริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง ในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารธนชาตได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน มีการนำนโยบายการบริหารความเสี่ยงด้านต่าง ๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต บริษัทยังได้รับการแนะนำและกำกับดูแลจากธนาคารแม่และธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลธนาคารแม่ด้วย

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสองทั่ว ๆ ไปได้ผลักให้บริษัทขนาดเล็กเช่นบริษัทราชธานีลิสซิ่งต้องแสวงหาผลิตภัณฑ์และตลาดใหม่ๆ โดยบริษัทได้หันไปเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 55% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 บริษัทพยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการให้ชำระเช็คลงวันที่ล่วงหน้า แม้ว่าคุณภาพสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ แต่บริษัทก็ยังคงมีความท้าทายในการดำรงผลตอบแทนในระยาวให้มีเสถียรภาพหลังจากหักเงินกันสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญแล้ว ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลกับคุณภาพของสินเชื่อประเภทใหม่นี้เนื่องจากความเชี่ยวชาญของบริษัทคือสินเชื่อสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมถัวเฉลี่ยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 5.9% ในปี 2551 เป็น 2.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 การปรับตัวที่ดีขึ้นของอัตราส่วนคุณภาพสินเชื่อส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานสินเชื่ออย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อัตราส่วนดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.0% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 และเช่นเดียวกันกับผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์อื่น ๆ บริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับสูงขึ้นเป็น 4.2% ณ สิ้นปี 2554 ส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มสูงขึ้นและทำให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลง

การแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อรถยนต์มือสองส่งผลกดดันความพยายามของบริษัทราชธานีลิสซิ่งในการปรับเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากดอกเบี้ยแม้ว่าสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นก็ตาม เงินทุนต้นทุนต่ำจากธนาคารแม่ช่วยสนับสนุนประคองส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายของบริษัท ตั้งแต่ปี 2551 บริษัทได้รับประโยชน์จากปัจจัยหลัก 2 ประการคือ ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดและการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางการบัญชีเกี่ยวกับการตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายคอมมิชชั่น ปัจจัยทั้ง 2 ประการดังกล่าวช่วยปรับปรุงผลการดำเนินงานของบริษัทให้ดีขึ้นจากการที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานเพิ่มขึ้นช้ากว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ระดับ 26.7% ในปี 2552 ลดลงจากอัตราที่สูงกว่า 30% ในช่วงหลายปีก่อนปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อไปอีกเป็น 19.8% ในปี 2553 และลดลงมาอยู่ที่ระดับเพียงแค่ 12.2% สำหรับปี 2554

บริษัทราชธานีลิสซิ่งรายงานผลกำไรสุทธิ 204 ล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 109 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิสำหรับ 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 อยู่ที่ระดับ 191 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 30.1% จากช่วงเดียวกันในปี 2553 ผลจากอุทกภัยกระทบต่อผลประกอบการโดยรวมในปี 2554 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาระค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองจำนวน 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านบาทในปี 2553 ส่งผลให้บริษัทมีผลกำไรสุทธิ 205 ล้านบาทในปี 2554 ใกล้เคียงกับกำไรสุทธิในปี 2553 ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นได้ปรับเพิ่มอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อรวมเป็น 2.4% ในปี 2554 จาก 2.2% ในปี 2553 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ในปี 2553 จาก 1.9% และ 1.8% ในปี 2552 และปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวปรับลดลงเป็น 1.9% ในปี 2554 ฐานทุนของบริษัททรุดลงจากการระดมทุนเชิงรุกโดยการกู้ยืมเพื่อขยายสินเชื่อแม้ว่าจะมีการเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิตามใบรับรองสิทธิในการซื้อหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยในปลายปี 2552 และการปรับตัวดีขึ้นของผลประกอบการในปี 2552 และปี 2553 แล้วก็ตาม อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงจาก 31.4% ในปี 2550 เป็น 13.4% ในปี 2553 และ 12.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 การปรับโครงสร้างทุนในเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็น 17.2% ณ สิ้นปี 2554 ระดับดังกล่าวถือว่าเพียงพอต่อการขยายสินเชื่อในอีก 2-3 ปีข้างหน้าภายใต้การคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง ปัจจุบันบริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารหลวงไทยซึ่งปัจจุบันคือธนาคารธนชาต ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ประมาณ 75% ของเงินกู้ยืมรวมของบริษัทเป็นการกู้ยืมจากธนาคารแม่ บริษัทสามารถนำเงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารธนชาตสามารถสนับสนุนบริษัททางด้านการเงินได้มากขึ้น ทริสเรทติ้งกล่าว ? จบ

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (THANI)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2560 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ