ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “ธ. ทหารไทย” องค์กรที่ “A+” หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันที่ “A”และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Wednesday June 27, 2012 16:31 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารที่ระดับ “A” และ “BBB+” ตามลำดับ โดยแนวโน้มยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความสามารถของคณะผู้บริหารและการได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคารคือ ING Bank N.V. (ING Bank) อันดับเครดิตยังสะท้อนสภาพคล่องในระดับสูงและปริมาณเงินกองทุนจำนวนมากของธนาคารด้วย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนโดยปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างอ่อนแอ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศและภาวะการเงินโลก ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวอาจจำกัดโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจและความสามารถในการทำกำไรของธนาคาร ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนความคาดหมายว่าธนาคารจะสามารถปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ ตลอดจนฐานะการเงิน และประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป การได้รับการสนับสนุนจาก ING Bank คาดว่าจะช่วยให้ธนาคารมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น อีกทั้งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่ธนาคารได้ในระยะกลาง นอกจากนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากจาก 50 ล้านบาทเหลือเพียง 1 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2555 นี้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบอย่างรุนแรงต่อระบบธนาคารในทันที

สำหรับอันดับเครดิต “BBB+” ของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ของธนาคารจำนวน 4,000 ล้านบาท (TMB09PA) นั้นสะท้อนถึงความด้อยสิทธิและความเสี่ยงในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้ดังกล่าว โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาชำระคืน ไม่สะสมผลตอบแทน มีลักษณะด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และธนาคารสามารถไถ่ถอนคืนได้หลังจาก 5 ปีนับจากวันที่ออกตราสาร และไถ่ถอนได้ทุก ๆ 6 เดือนหลังจากนั้น ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิประเภทนี้จะได้รับการชำระเงินในลำดับถัดจากผู้ฝากเงิน ผู้ถือหุ้นกู้ไม่มีประกัน และผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคาร โดยธนาคารจะไม่มีภาระผูกพันในการจ่ายดอกเบี้ยในกรณีที่ธนาคารมีผลขาดทุนในรอบบัญชีก่อนวันกำหนดชำระดอกเบี้ย ทั้งนี้ การไม่จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้ของธนาคาร

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารทหารไทยประกอบด้วยกลุ่ม ING Bank และกระทรวงการคลัง โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น ณ เดือนมีนาคม 2555 เท่ากับ 30.1% และ 26.1% ของหุ้นทั้งหมดตามลำดับ ING Bank ในฐานะหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ของธนาคารเข้ามามีบทบาทในการบริหารงานและช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่สถานะการเงินและธุรกิจของธนาคาร โดยธนาคารได้นำความรู้ในการบริหารความเสี่ยงรวมถึงจุดแข็งด้านการให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อยของ ING Bank มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ปัจจัยดังกล่าวนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้ธนาคารเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ดำเนินโครงการ Transformation Program มาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อปรับเปลี่ยนให้ธนาคารเป็นองค์กรที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางและมุ่งเน้นการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อความสำเร็จในอนาคต อย่างไรก็ตาม คณะผู้บริหารยังคงเผชิญกับความท้าทายในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ตลอดจนการขยายฐานสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกำไร การพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์ และการรักษาฐานเงินทุนให้มีความมั่นคงท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจในอนาคตที่ยังไม่มีความแน่นอน

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารทหารไทยเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดของสินทรัพย์รวมใหญ่เป็นอันดับ 7 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดของเงินให้สินเชื่อ 4.9% และเงินรับฝาก 5.9% ธนาคารมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 713.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.7% จาก 638.6 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2554 ธนาคารมีฐานะทางการเงินดีขึ้น โดยในปี 2554 มีกำไรสุทธิ 4,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.2% จาก 3,202 ล้านบาทในปี 2553 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (ROAA) และผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ย (ROAE) สำหรับปี 2554 เท่ากับ 0.61% และ 7.85% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจาก 0.57% และ 6.63% ในปี 2553 จากผลของการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสแรกของปี 2555 ธนาคารมีผลประกอบการลดลงเล็กน้อยเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น โดยธนาคารมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 1,031 ล้านบาท ลดลง 5.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนโดย ROAA และ ROAE ที่ยังไม่ได้ปรับเต็มปีเท่ากับ 0.14% และ 1.95% ตามลำดับ ลดลงจาก 0.18% และ 2.20% สำหรับช่วงเดียวกันของปีก่อน และแม้ว่าฐานะทางการเงินของธนาคารจะดีขึ้นในช่วงปี 2551-2554 แต่ความสามารถในการรักษาเสถียรภาพทางการเงินยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป

ธนาคารทหารไทยได้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ตามแผนกลยุทธ์ทั้งโดยวิธีการปรับโครงสร้างหนี้ การจำหน่ายสินเชื่อด้อยคุณภาพ และการตัดจำหน่ายหนี้เสียออกจากบัญชี ส่งผลให้ NPL ลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 36.0 พันล้านบาทในปี 2553 เป็น 29.8 พันล้านบาทในปี 2554 อัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 9.91% ในปี 2553 เป็น 7.49% ในปี 2554 ในขณะที่อัตราส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPA) (สินเชื่อจัดชั้นค้างชำระเกิน 3 เดือน สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และทรัพย์สินรอการขาย) ต่อสินทรัพย์รวมในปี 2554 เท่ากับ 5.07% ลดลงจาก 7.84% ในปี 2553 อย่างไรก็ตาม ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 30.5 พันล้านบาท (คิดเป็น 7.59% ของสินเชื่อรวม) โดยอัตราส่วน NPL ของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่สุดในบรรดาธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 11 แห่ง (ไม่รวมธนาคาร 4 แห่งที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย) และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 3.59% ฉะนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามความสามารถในการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทางด้านแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องนั้น ธนาคารทหารไทยสามารถปรับโครงสร้างเงินทุนให้มีการกระจายตัวดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่าและมีเสถียรภาพมากขึ้น โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารมีเงินรับฝากประเภทบัญชีกระแสรายวันและออมทรัพย์คิดเป็น 59% ของเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงินซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 43% ในปี 2553 นอกจากนี้ ธนาคารยังดำรงสภาพคล่องให้อยู่ในระดับสูง โดยมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากรวมตั๋วแลกเงิน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 เท่ากับ 83.3% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 95.5%

ธนาคารทหารไทยมีฐานเงินทุนและสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่มากพอเพื่อใช้รองรับความสูญเสียที่มิอาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมในการดำเนินงาน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารมี NPA คิดเป็น 0.40 เท่าของเงินกองทุนรวมสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ โดยลดลงจาก 0.53 เท่าในปี 2553 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 0.50 เท่า นอกจากนี้ ธนาคารยังมีฐานเงินทุนที่เพียงพอสำหรับใช้ขยายธุรกิจในระยะกลาง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2555 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Tier-1 Ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) เท่ากับ 11.19% และ 16.24% ตามลำดับ ลดลงเล็กน้อยจาก 11.33% และ 16.59% ณ สิ้นปี 2553 อันเป็นผลจากปริมาณสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวของธนาคารยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 10.39% และ 14.89% ตามลำดับ และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ระดับ 4.25% และ 8.50% ตามลำดับ ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB)
อันดับเครดิตองค์กร:	                   คงเดิมที่ A+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
TMB19NA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 5,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562	                     คงเดิมที่ A
TMB204A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 8,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2563	                     คงเดิมที่ A
TMB09PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนซึ่งนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2652	คงเดิมที่ BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต:	                   Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2231-3011 ต่อ 500 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2555  ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/ratinginformation/rating_criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ